วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พื้นฐานไม่สำคัญหรือไร

ดรามาเรื่องเผาใบประกาศกันอีกนิด   ครั้งนี้เปรียบเทียบแทบจะใช้ทุกคำต้นฉบับ แต่ปรับภาพให้ชัดเจน อ่านแล้วคงความมุ่งหมายในการสอนได้ดีมาก   ลองอ่านนะ

___________________________
__
สะท้อนถึงเด็กวีสตาร์ที่เผาใบประกาศได้ดี


"วันนี้ได้เห็นภาพของอาจารย์ท่านหนึ่ง
 ลงไว้พร้อมกับคำอธิบายยาวเหยียดความว่า....

ครูสมัยประถมของตนสอนให้ตนท่อง กขค ตอนนั้นตนรู้สึกตื่นเต้น
 ที่ได้ท่อง กขค กลางแดดหน้าเสาธงให้เพื่อนๆฟัง
 และกลับบ้านไปท่องให้พ่อแม่ฟังที่บ้านอย่างตื่นเต้นอีกด้วย
 แต่พอจบประถม จนกระทั้งจบมหาลัย ตนกลับไม่เคยได้ท่องมันอีกเลย
 เมื่อมองย้อนไปรู้สึกว่า ทำไมเมื่อก่อนตนถึงโง่งมงาย ท่องตามที่ครูสอน
 ตอนนี้คิดได้ว่าสิ่งครูประถมสอนนั้นไม่ใช่การสอนภาษาไทยที่แท้จริง
 เป็นการสอนให้งมงาย การท่องจำ กขค เป็นสอนให้ท่องอย่างไร้เหตุผล
 หลังจากตนเรียนจบมหาลัยได้เป็นอาจารย์สอนภาษาไทย
 ได้ศึกษาภาษาศาสร์ อักษรศาสตร์มากขึ้น เรียนรู้มากขึ้น
 จึงคิดว่า การที่ตอนนี้ตนหลุดจากการท่อง กขค มาได้นั้น
 เพราะตอนนี้ตนรู้แล้วว่าภาษาไทยนั้นยังมีอะไรที่ลึกซึ้ง
 มากมายกว่า กขค ที่ตนเคยท่องจำมาในสมัยประถม
 ตนรู้แล้วว่า กขค มันยังไม่ใช่ภาษา ไม่สามารถเรียกว่าเป็นภาษาได้
 ที่ครูประถมสอนมานั้นมันเป็นแค่การท่องจำพยันชนะ
 ไม่มากพอที่จะใช้สื่อสารกับใครๆได้
 ทำให้ตนไม่ตื่นเต้น หลงไหล กับการท่อง กขค อีกเลย
 และตนขอภาวนา และแผ่เมตตาให้เด็กไทย พ้นจากการท่อง กขค
 แบบงมงาย ตามที่ครูประถมสอนๆกันเสียที

พร้อมกับออกมาด่าว่าโรงเรียน และครูประถมของตน อย่างเสียๆหาย
 ด้วยถ้อยคำที่ศิษย์ที่ดี ไม่พึงเอ่ยกับอาจารย์ หรืออดีตอจารย์ของตน
 แล้วถ่ายรูปตอนเผาใบประกาศนียบัตรที่ออกโดยเรียนประถมของตน
 โชว์ให้โลกเห็น
*************************************
ความรู้ทั้งหลาย ของผู้มีปัญญา เริ่มต้นมาจาก
 ความอดทนอันยิ่งใหญ่ของครูประถม
 ในการสอนความรู้อันน้อยนิด คือ กขค
 ธรรมะที่ลึกซึ้ง ของผู้มีคุณธรรมสูงส่ง
 เริ่มต้นจากความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ของครูบาอาจารย์
 ในการปลูกฝังศีลธรรมเล็กๆ คือศีล5

หรือครูประถมจะเป็นได้แค่เรือจ้าง สำหรับเด็ก
 เพราะความรู้ กขค ที่น้อยนิด
 แต่แลกมาด้วยความทุ่มเทที่ยิ่งใหญ่ของครูนั้น
 มันไร้ค่าเมื่อเทียบกับความรู้ที่มากมายยิ่งกว่า
 ที่ได้มาด้วยการอ่านเขียนของตนของตน"                                     จาก FB: Jedsada Vanit

(ที่มาของเรื่อง การเผาใบประกาศ) https://www.facebook.com/ApisitKeaw

เรื่องแปลกหมอเหวง ยินดีกับหมอประเวศ

วันนี้ (30 พฤษภาคม) นพ.เหวง โตจิราการ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.โพสต์แสดงความเห็นถึง นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กรณีออกมาวิจารณ์ทหารและเรียกร้องให้ในอนาคตอย่าเข้ามายุ่งกับการเมือง ปล่อยให้รัฐสภาแก้ปัญหาตามระบบว่า


“หมอประเวศเพิ่ง ดวงตาเห็นธรรม ในเรื่อง “กองทัพอย่าเข้ามายึดอำนาจหรือบริหารประเทศ”ในวันนี้เอง ภายหลังจากรัฐประหารกว่าสิบครั้งในช่วงชีวิตของเขา ช่วงที่ร้ายแรงที่สุดในปี2519 หรือ ปี2535 เขาก็เติบใหญ่เป็นหมอชื่อดังในศิริราชแล้ว”แต่ไม่ยักทำให้เขาเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือเหตุการณ์ “ฆ่าประชาชนจำนวนหนึ่งร้อยศพปี2553 ผมไม่เห็นหมอประเวศออกมาแสดงความเห็นคัดค้านแต่ประการใดหรือหมอประเวศค้านไว้ที่ไหนอย่างไร?ก็ขอให้เอาข้อเท็จจริงมาแสดงต่อสาธารณชน แต่เพิ่งมาเกิดด้วยตาเห็นธรรมในคราวนี้”
ทำให้ผมงุนงงสงสัย และเกิดความฉงนสนเท่ห์ว่า หมอประเวศปาฐกชื่อดังทางด้านธรรมะ ทางด้านแก้ไขปัญหาของประเทศและสังคมด้วยหลักคุณธรรมจริยธรรมอันสูงส่ง เพิ่งเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นในยุคคสช.ได้อย่างไร เมื่ออ่านรายละเอียดตามข่าวแล้ว ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า คสช.ทำอะไรขัดใจหมอประเวศหรือเปล่า?? หรือคสช.เข้าไปตรวจสอบการทำงานของตระกูลส.เช่นนั้นหรือเปล่า?? ตระกูลส.อันเป็นกลุ่มพวกที่หมอประเวศมีบทบาทสำคัญไม่มากก็น้อยไม่ทางตรงก็ทางอ้อมในการผลักดันให้เกิดขึ้น และเป็นกลุ่มพวกทีมีอำนาจในทางสาธารณสุขอย่างมากมาย จนแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มองค์กรที่มีอำนาจทางการเมืองที่ไม่อาจจะมองข้ามได้อีกแล้ว พอ คสช.เข้าไปแตะนิดแตะหน่อย ก็เลยทำให้หมอประเวศไม่พอใจหรือเปล่า? จึงทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้น??
เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?
ผมไม่รู้และต้องการรู้โดยบริสุทธิ์ใจจริงๆครับ
จากที่มา http://www.matichon.co.th/news/153591

V Star Drama

เมื่อวานซืน มีผู้ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กดีวีสตาร์  เคยเป็นดาวแห่งความดี  เคยส่องแสงสว่างไปในใจ ออกมาดรามา ว่าวัดที่เคยเคารพนับถือ ตอนนี้กลับมาพูดไปในทิศทางตรงข้าม  ลงรูปภาพเผาใบประกาศเกียรติบัตร  ทำเอากลุ่มวีสตาร์  ออกมาโพสแสดงความเห็นกัน  ก็น่ารักไปอีกแบบ



เรื่องราวของน้องน้ำใส ชณัญญา สุทธิพิทยศักดิ์  จาก เวป https://goo.gl/dfDuFJ

ไม่ฝากถึงใครค่ะ แต่อยากเล่าให้ฟัง...
...ดิฉัน ก็เป็นหนึ่งในเด็กดี วีสตาร์ รุ่น ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ จำได้ว่าตอนมาวัดครั้งนั้น เกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักในขณะทำพิธี เด็กๆหลายคนเข้าไปหลบฝนในวิหารคด แต่ดิฉัน...เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กที่ยืนหยัดทำพิธีท่ามกลางสายฝน ด้วยความตั้งใจ จนพิธีเสร็จสิ้น ไม่เคยบ่น หรือ ด่าใคร แม้แต่คำเดียว
...เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้น ให้ดิฉันเข้าวัดพระธรรมกาย "อย่างเต็มตัว" เพราะหากเม็ดฝน ไม่ได้ชำระล้างกิเลส หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในการสร้างบารมี เกิดความหวาดกลัวที่จะต่อสู้ แม้เม็ดฝน เม็ดเล็กๆ ก็คงจะไม่มีดิฉันในวันนี้
...ดิฉันอยากบอกกับทุกท่านที่พยายามโพสต์ข้อความโจมตีวัดพระธรรมกาย ว่า คุณไม่ทราบหรอกค่ะ ว่ากว่าคนแต่ละคนจะเข้ามาพิสูจน์ในสิ่งที่คุณกล่าวหา บางท่านใช้เวลาถึง 10 ปี กว่าจะเข้าใจว่าวัดสอนอะไร บางท่านใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาเลยด้วยซ้ำ
...ดิฉันไม่เคยขอให้พวกคุณมารัก มาหวงแหนศรัทธาเหมือนดิฉันหรอกค่ะ เพราะทราบดีว่าเป็นไปได้อยาก เพียงแต่อย่าทำร้ายกัน ด้วยการกล่าวในสิ่งที่คุณไม่ทราบ หรือทราบเพียงผิวเผิน โดยการฟังเขามา ศรัทธาของคนเราไม่เสมอกัน ดังนั้น การกล่าวว่าคนที่ศรัทธาในสิ่งที่แตกต่างคือคนโง่เขลา คนหลงงมงาย จึงเป็นการกระทำซึ่งปราชญ์ หรือผู้มีปัญญา ไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง เพราะความคิดนี้เอง ที่บ่งบอกว่าเขา "มีปัญญามาก มีปัญญาน้อย หรือไม่มีเลย"

(ที่มาของเรื่อง การเผาใบประกาศ) https://www.facebook.com/ApisitKeaw

พระมหาไพวัลย์ วัดสร้อยทอง ท่านไม่ได้เขียนเรื่องห่วงคณะสงฆ์

จากข้อความเดิม:เรื่องราวชักไปกันใหญ่   ทุกสายอาชีพ ขึ้นมาพูด ในเรื่องราวตอนนี้ ที่เกี่ยวกับ สังคม สิทธิ คดีความ  มาวันนี้ พระคุณเจ้ารูปนี้ ผู้ที่มีปกติโพสอะไรที่มา มักจะทำให้วัดพระธรรมกาย เสียหายบ้าง ดูไม่ดีบ้าง  ได้โพสอะไรที่อ่านแล้ว  สังคมควรจะคิดใหม่ กลับข้าง เปลี่ยนมุมมอง วัดพระธรรมกายไม่ใช่ไม่ทำตามกฏหมาย แต่ เป็นผู้ยืนหยัดบนความยุติธรรม บนความเป็นธรรม ทำเพื่อคณะสงฆ์ทั้งแผ่นดิน เพราะถ้าคดีนี้เป็นตัวอย่าง ว่า พระที่รับบริจาคกลายเป็นรับของโจรแล้วไซร้   พระทั้งแผ่นดินไทย ก็จะโดนคดีหมดสิ้นไม่เว้นสักองค์  แม้พระประธานในโบสถ์ ที่ตังตู้ ก็ไม่แน่ว่าจะรอด...คิดแล้วเศร้านิ

อีกหน่อย DSI  ก็จะเรียกพระทั่วประเทศ เข้ารับฟังข้อหารับของโจร 
และฟอกเงินทั้งประเทศ ชาวไทยพุทธไม่เชื่อก็รอดู.......
นี้คือวิธีทำหมันไม่ให้ชาวพุทธขยาย บอนไซ ไม่ให้โต  
อีกไม่เกิน 20  ปี ประเทศไทยก็จะกลายเป็น อดีตเมืองพุทธ 
จับตาดูให้ดี  รักษาลมหายใจให้ยืนยาว รอดูวันนั้น 
**ถ้าชาวพุทธยังทำตัวไม่รู้ร้อนดังเช่นทุกวันนี้ **

ในเมื่อว่า หลวงพ่อธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย 
ท่านไม่ทราบที่มาของเงินมาก่อน
ไม่มีส่วนรู้เห็นในกระบวนการของเงินแต่อย่างใด

ในทางธรรมวินัยแล้ว 
ต้องถือว่าท่าน ไม่ผิดธรรมวินัยแต่อย่างใด

พระมหาไพวัลย์  วรวณฺโณ
วัดสร้อยทอง


นั่นไง สรุปว่าท่านไม่ได้เขียน คนอื่นเขียน ก็ขออภัย นึกว่าจะเปลี่ยนแปลง ลิงค์นี้ ท่านปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เขียน   แจ้งไว้ ณ ที่นี้

ประเวศ วะสี สำนึก

หนังสือพิมพ์มติชน  ได้เขียนข่าว เกี่ยวกับการถอดคำพูดของ น.พ. ประเวศ วะสี   ที่เทียบเคียงกรณีวัดพระธรรมกาย กับ เรื่องของการเมือง ช่วงก่อนที่ทหารจะเข้ามาได้น่าฟัง ทั้งๆที่ไม่เคยพูดให้วัดพระธรรมกาย  แต่คราวนี้พูดแล้ววัดพระธรรมกายดูดีมาก  สงสัยมากินน้ำที่วัด โดนล้างสมองไปแล้ว        http://www.matichon.co.th/news/152969

หมอลักษณ์เตือนเกรียนคีย์บอร์ด แล้วเป็นไง

หมอลักษณ์ ฟันธง ชื่อนี้คงไม่ต้องบอกคุณภาพอย่างไร  เห็นท่านไปออกทีวี หนังสือนิตยสารเป็นประจำ  ท่านคงเห็นสังคมนี้คนทำบาปกันอย่างสนุกสนาน จึงออกมาเตือนด้วยความหวังดี เมตตา แต่ที่ยกมาให้อ่าน นอกจากบทความแล้ว อยากให้อ่านคอมเมนต์ ที่เกรียนทั้งหลายโต้ตอบว่ากลับ จะได้รู้ว่าเราอยู่กับคนยุคนี้เป็นอย่างไร  อ่านแล้วนึกถึงคุณสมบัติคนประเภทหนึ่งที่ อาชัยชอบมาพูด  คนพาล พูดดีๆก็โกรธ


ลองอ่านดู

ชีวิตของคน ปัญญา ศรัทธา จริต ต่างกัน ต้องระวัง กาย วาจา ใจ

การจาบจ้วงล่วงเกิน 

ทางกายกรรม 
วจีกรรม 
มโนกรรม 


ต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 การท่ี สนุก สะใจ หมั่นไส้ โพสต์แชร์ เรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์องคเจ้า บาปมหันต์ 

ทุกๆอย่าง มีเหตุ มีปัจจัย มีลึกตื้นหนาบาง มีกรรมต่อเนื่องซับซ้อน 

เราไม่ได้เกิดมาเพื่อมีหน้าท่ีตัดสินชีวิตใคร ศรัทธาของใคร 
เราควรดูกายดูจิต เราก็พอ 

และมีสติปัญญา เลือกจะศรัทธา ไม่ศรัทธา ในวัดในพระ ของใครของมัน 

การไปดูถูกดูหมิ่น สะใจ หมั่นไส้ ริษยา สมเพชเวทนาในกรรมในการกระทำของใคร ผลกรรมของใคร นั่นคือ เราเอาตัวไปร่วมไปรับกรรม เราว่างมากนักหรือ เรามีเวลาท่ีจะทำ ท่ีจะพูด ท่ีจะโพสต์ ท่ีจะเเชร์ ในเรื่องท่ีเราไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ในท่ีเราไม่เคยได้ไป ได้ทำ เราจะทำไปเพื่ออะไร คนมีธรรมมีสติ ต้องคิดได้ 

หรือหากเราเคยมีศรัทธาต่อวัดต่อพระท่ีใดเมื่อเราหมดศรัทธา แล้วเราจะมาพูด มากล่าว เพื่ออะไร เราก็จากไป ไปหาท่ีแห่งสุขที่เราศรัทธา มีมากมาย

เพราะอะไร เพราะทั้งหมดทั้งมวลมี ผลแห่งกรรม จากกาย วาจาใจ และละเอียดอ่อน ท่ีเราต้องพบต้องเจอ ต้องได้รับผล ชีวิตท่ีดำเนินไปและเวียนเกิด ไม่มีทางได้รับการอบรมบ่มนิสัย ให้ สูงขึ้น นอกจาก เป็น อิจฉา ริษยา หมั่นไส้ รำคาญ ประจาน ใส่ความ สะใจ แค่นั้น ชีวิตคนประเภทนี้จะหาความสุขความเจริญมิได้ 

ชีวิตจะสุกๆดิบๆ ขาดๆเกินๆบ้าๆบอๆ ลุ่มๆดอนๆ 

เพราะเรามีศีลแค่ 5ข้อ ขาดบ้างครบบ้าง
พระท่านมีศีล 227 แน่นอนพระสงฆ์ ท่านย่อมมีผิดทั้งในท่ีลับท่ีแจ้ง ซึ่งมีวินัยบัญญัติ ไว้ชัดเจน ในผล ผลทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ท่านท่ีเป็นพระ ผิด ผลแห่งกรรมนั้นรุนแรงสาหัสกว่า ฆราวาส ท่ีครองแค่ศีล 5 ไม่ต้องกลัวว่าใครจะไม่รู้ ไม่ต้องกลัวว่า จะไม่มีการรับโทษทัณฑ์ รับผลกรรม กฏแห่งกรรมนั้นยุติธรรมท่ีสุด 

แต่เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อย่าไปจดจ่อจับจ้องในผลกรรมของใคร ท่ีเห็นกันอยู่ทุกวัน ว่า ทำไมชีวิตคนมากมายในปัจจุบัน จึงเจอเรื่องราวโหดร้าย เลวร้าย สารพัด 

ผมบอกได้เลยว่า "คนต่างๆท่ีชาตินี้ เกิดเหตุเภทภัย ความโหดร้าย ถูกกระทำย่ำยี อย่างรุนแรง น่าสะเทือนใจ ทั้งท่ีเขาชาตินี้เป็นคนดี 

แต่ใครจะรู้ ชาติท่ีแล้ว เขาทำอะไรมาบ้าง มันอาจเป็นผลกรรมตกค้างท่ีตามมาเช็คบิล แล้วสติปัญญาเรา ไปไม่ถึง จึงพิจารณา เท่าท่ีเห็นและประสบในชาตินี้ ในปัจจุบันนี้ 

ผมคิดได้นึกได้ เข้าใจในกฏแห่งกรรม เห็นสัจธรรม และผลแห่งกรรม วิบากกรรม ผมจึงต้องมาให้ข้อมูลเพื่อ เตือน แนะนำ ทุกๆคนท่ีกำลัง เข้าไปมีส่วนร่วมในอารมณ์ ท่ีจะทำให้ตัวเรา มีผลกรรม ท่ีจะเกิดขึ้น ติดตามเราไปทุกชาติภพ ครับ


นี่เป็นข้อความที่หมอลักษณ์ เตือนสังคม ส่วนจะโดนพวกเกรียนสวนแบบไหน  ต้องลองอ่านในคอมเม้น
ตามลิงค์นี้  https://m.facebook.com/lucklive/posts/1111883635521637:0

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พิศาฬเมธ แช่มโสภา ชี้เก่งอย่างเดียวคิดไม่ได้ต้องชั่วถึงขีดด้วย

คนที่คลุกคลีในพระพุทธศาสนา บวชมานานหลายพรรษา สึกหาลาเพศมา ก็ยังติดตามดูแล ใครมาย่ำยี ก็ออกมาแสดงความเห็น เก็บบทความท่านไว้ในหนึ่งหน้าของโรงละคร

พิศาฬเมธ แช่มโสภา 

ไม่ใช่คนดีและอัจฉริยะจริงๆ คิดไม่ได้
: ใช้พระผู้ใหญ่เป็นเหยื่อ
-------------------------------
พิศาฬเมธ แช่มโสภา นักวิชาการอิสระทุกเรื่องที่รู้ (บทวิจารณ์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว)
-------------------------------
ติดตามข่าวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย ที่กำลังฮิตในปัจจุบัน คือ เรื่องวัดพระธรรมกาย หลังจากเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่มารับทราบตามหมาย 
ท่านคงมั่นใจว่า หากมารายงานตัวตามกำหนด ท่านจะไม่มีทางได้กลับวัดพระธรรมกายอีกต่อไป จนมรณภาพคาผ้าเหลือง หรือตาย เพราะถูกจับสึกและถูกจองจำเพื่อดำเนินคดีต่อไป เพราะมีอีกหลายคดีที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการอายัดตัวไว้ได้ แม้คดีที่แจ้งจะเป็นคดีฮาโลก ก็ตาม
เพราะจะไม่มีการให้ประกันตัว เนื่องจากมีธงบังคับอยู่แล้วว่า “ถ้าสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ได้ …เอง” 
จึงมองหน่วยงานที่ทำเรื่องนี้แบบชมเชยในใจว่า มีไว้เฉพาะพระพุทธศาสนาจริงๆ ..
ขนาดท่านรองอธิบดีกรมอัยการยัง.. งง .. กับการปฏิบัติของหน่วยงานนี้ ว่า เรื่องง่ายๆ ทำให้กลายเป็นเรื่องยาก แค่เอาไปให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายลงนามรับทราบที่วัดก็จบ เหมือนที่เคยเสนอไว้ในโพสต์ก่อน
แทนที่จะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กไม่ให้เป็นเรื่อง.. แต่นี่.. ทำตรงข้ามไปหมด 
ครั้นจับไม่ได้ ก็มีการยื่นให้ยึดทรัพย์วัดพระธรรมกาย 
มันเกี่ยวอะไรกับผู้ยื่นด้วย จะอ้างว่าเพื่อรักษาทรัพย์ของพระพุทธศาสนาไว้ พระวัดธรรมกายท่านก็จัดการเองได้ เพราะบัญชีแต่ละบัญชีจะต้องมีคนลงนามเบิกอย่างน้อย สองในสามคนเป็นอย่างน้อย
มันจึงกลายเป็น “ความปรารถนาดี ที่ไม่มีใครต้องการ” เท่ากับอะไรดีล่ะ ! ตั้งสมการไม่ถูก..?
ครั้นจับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ได้ ก็จะออกหมายค้น ยิ่งบานปลายไปกันใหญ่ คุณจะเข้าค้นอย่างไร จะใช้วิธี “ออกได้ เข้าไม่ได้” ที่เคยใช้ในยุคหนึ่ง คงหมดสมัย.. เขารู้ทันกันหมดแล้ว แค่เอารถพยาบาลมาจอดก็เดาได้ อย่าคิดว่าคนอื่นเขาโง่
ใครจะยอมให้หลวงพ่อที่เขานับถือตกอยู่ในมือหน่วยงานนี้ เท่ากับว่าส่งหลวงพ่อไปตายแบบน่าอนาถ..
ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายไม่ยอมแน่ แม้จะเกิดอะไรต่อไป.. ก็ไม่อาจเดาได้.. 
“อย่าดูถูกศรัทธาประชาชน มันมีพลังมากมายกว่าที่คุณคิด”
ความไว้วางใจที่กลายเป็นความระแวง มันยากที่จะทำให้เหมือนเดิม.. 
ยิ่งพอเสร็จ พวกแก๊งค์ “พ่อคนดี” ก็ออกหน้าเรียงตัวออกมา แถลงให้ความเห็น แบบล่อนจ้อน.. ทำให้ลูกศิษย์เห็นคนอยู่เบื้องหลังหมด 
(ความจริง เขาก็เห็นมานานแล้ว และเลยไปจนถึงไหนแล้ว แต่เขาไม่พูด)
นี่ยังไปเห็นดีกับพ่อคนดีที่วัดพระธรรมกายส่งเสียให้เรียน จนมีความรู้ระดับสูง และเสนอให้ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย ให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมอบตัว ไม่เสียทีที่วัดพระธรรมกายส่งให้เรียนจริงๆ 
เรียกว่า ใช้กระสุนนัดเดียว จัดการพระได้ ๒ รูป คือ
๑. หลวงพ่อสมเด็จฯ ตกที่นั่งลำบาก
- หากทำตามที่ขอก็ไม่ได้ เพราะตามพระวินัย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายถือว่า พ้นจากการต้องอบรมสั่งสอนแล้ว (ภาษาพระเรียกว่า นิสัยมุตตกะ คือ พ้นนิสัยแล้ว ไม่ต้องอบรมต่อไป)
- หากไม่ทำตามที่ขอ ก็จะถูกหาว่าไม่ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ของรัฐ 
๒. เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
- หากหลวงพ่อสมเด็จฯ ขอให้มอบตัว ตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ ก็ลำบากใจ เพราะเกี่ยวข้องกัน อย่างมาก ท่านอาจจะกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จฯ ว่า ขอตายคาผ้าเหลือง ดีกว่าที่จะถูกย่ำยี รวมทั้งลูกศิษย์วัดพระธรรมกายก็คงไม่ยอมเช่นกัน - หากหลวงพ่อสมเด็จฯ ไม่ขอ ก็เป็นโชคดีไป
วิธีคิด ๒ ต่อ แบบนี้ ถ้าไม่อัจฉริยะและดีแสนดีจริงๆ แล้วคิดไม่ได้นะ..
ผมเองยังคิดไม่ทัน กว่าจะคิดได้ ก็ถึงวันนี้..
**บอกตามตรงว่า ความคิดในการทำลายสิ่งใด ไม่มีในสมองผม ถ้าจะคิด ชอบที่จะคิดสร้างสรรค์มากกว่า และชื่นชอบกับความคิดสร้างสรรค์ของใครก็ได้ที่คิดดี เรื่องคิดชั่วๆ ไม่ถนัด.. ครับ**
ขออธิบายสำหรับท่านที่ยังไม่ทราบวินัยพระ คำว่า นิสัยมุตตกะ ที่กล่าวถึง 
ในขั้นตอนหนึ่ง ในโบสถ์ ผู้ขออุปสมบทจะต้องขอนิสัยต่อพระอุปัชฌาย์ (บาลีใช้ นิสสัย) คือ ขอให้ท่านอบรมสั่งสอนเรื่องต่างๆ ที่พระควรทำหรือไม่ควรทำ กล่าวรวมๆ คือ อบรมให้เป็นพระที่ดี 
ในช่วงระยะหลังจากบวช พระอุปัชฌาย์หรืออาจารย์จะต้องสอนกริยามารยาทต่างๆ ที่พระจะต้องปฏิบัติ ข้อไหนปฏิบัติได้หรือไม่ได้ เป็นต้น
หากพ้น ๕ ปี ไปแล้ว จะถือว่าได้รับการอบรมพอสมควรที่จะเป็นพระที่ดีได้ พระนั้นเป็นนิสัยมุตตกะ (แปลว่า พ้นจากนิสัย) คือ ไม่ต้องอยู่ในการอบรมอีกต่อไป 
ยกเว้นผู้ที่ไม่ฉลาดไม่สามารถ จะต้องอยู่ในการอบรม คือ การควบคุมดูแลของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ตลอดไป
ดังนั้น เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายบวชมา ๔๗ ปี แล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงว่า พระอุปัชฌาย์จะต้องมาอบรมหรือไม่ ท่านเป็นนิสัยมุตตกะมานานแล้ว 
ที่จะมีก็คือ ความเคารพในพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทย ที่ปฏิบัติมาช้านาน เช่น การไปถวายสักการะหลังเข้าพรรษาแล้ว เป็นต้น
อย่าไปเหมาว่า หลวงพ่อสมเด็จฯ จะต้องบอกได้ ตามที่มโนแนะ.. 
ท่านเฉยหรือจะปฏิเสธก็เป็นสิทธิของท่าน อย่ามาออกข่าวว่า หลวงพ่อสมเด็จฯ ไม่ให้ความร่วมมือ มันไม่ถูกเรื่อง.. 
คราวก่อน ร่ำๆ จะออกหมายเรียก/หมายจับ.. ตอนนี้ จะใช้เป็นลูกบ๋อย.. เพื่อใช้ชิ่งให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมอบตัว มันดูดีนะ.. ระบบนี้
บอกแล้วว่า.. ทำอะไรกับพระ ต้องถวายเกียรติท่านหน่อย..
ประเทศไทยยังเป็นเมืองพุทธนะ (อีก ๑๐ ปี ไม่แน่) 
แนบลิงค์รายละเอียดสำหรับผู้สนใจ..
๑. http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=701647
๒. http://www.dailynews.co.th/regional/400230
๓. http://www.dailynews.co.th/crime/400397
๔. http://www.dailynews.co.th/education/400450
ขอเทิดทูนปณิธานเพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา และเอาใจช่วยผู้เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนาทุกท่านครับ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กลอนจากมอลต้า

กลอนข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  
ที่ผู้เขียนห่วงหาพาใจหาย
ยังชี้ชัดเมืองสยามอันตราย  
คนใจร้ายกลั่นแกล้งแค้นราวี
นำบทกลอนของท่านมาประดับ  
ที่ห้องหับโรงละครเป็นเกียรติศรี
เมื่อกาลผ่านล่วงพ้นจนหลายปี
บทกลอนนี้จักสูงค่าเพราะคำตรง

วิ. 29 พต 59




-----------/////////////////---------------

  "โรงละครสยาม"

ได้เห็นภาพเห็นสื่อถืออคติ
ด้วยดำริมาดร้ายทำลายสงฆ์
ให้ย่อยยับดับดิ้นสิ้นสูญลง
เป็นผุยผงธุลีดินศาสน์สิ้นไทย

สุดสังเวชสลดจิตชีวิตยิ่ง!
สื่อคนจริงความจริงสิ่งฝันใฝ่
หลักกฎหมายและผู้นำค้ำชูชัย
หมดสิ้นไร้ได้พึ่งพาพร่ามืดมน

โรงละครแห่งสยามยามยุคนี้
ฉากบู๊ผลาญรานราวีทุกที่หน
ทำลายสงฆ์ปลงศาสนาศรัทธาชน
ด้วยกลุ่มคนชาวไทยใจเนรคุณ!

อ้างรักชาติรักศาสน์รักกษัตริย์!
แต่พูดทำกรรมวิบัติบาปสถุล
ใช้สื่อพาลอำนาจโฉดโหดทารุณ
ล่าล้างบุญตราบาปสาปทุกข์ไทย

โปรดไตร่ตรองสำนึกหยุดศึกสงฆ์
ชูไตรรงค์ธงวิมุตติพิสุทธิ์ใส
สันติสุขสันติภาพสันติชัย
สามัคคีรักร่วมใจเถิดไทยเรา!

         สิทธิกันต์
       ๒๙/๕/๒๕๕๙


แขกคำผกา วอยซ์ทีวี สงสัยบริจาคไฉนเป็นฟอกเงิน

เจอเรื่องวันนี้ คุณแขกคำพกา ช่องวอยซ์ ยกประเด็นถามว่า การบริจาคนับเป็นการฟอกเงิน ได้อย่างไง นับเป็นกระดุมเม็ดแรกเลย  สังคมนึ้ฟังกันหน่อยว่า ติดผิดไหม

 Voice แค่ 3.29นาทีเท่านั้น กับแฉแหลกแบบบ้านๆ!!! คำผกาขอแฉธรรมกายฟอกเงิน???  https://youtu.be/3TnV7X9Kiic

บรรจบ บรรณรุจิ ถาม #คนรังแกพระ

"ทำไม หลวงพ่อธัมมชโย  จึงไม่มอบตัว ?
คำถามที่ผมไปตอบทาง TNN 24 เมื่อคืน
วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙"

+×÷=+×÷=

@  หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ หรือที่สื่อสารมวลชนเรียกกันว่า
"สมเด็จเกี่ยว" ได้แสดงความเห็นไว้ก่อนมรณภาพว่า เรื่องของวัดพระธรรมกายหากแก้ไขตรงจุดจะยุ่งมาก  เพราะจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับกิจการทางพระพุทธศาสนาด้านต่างๆ

@ ถึงบัดนี้ผมจึงเข้าใจว่า สมเด็จมีความแหลมคม  แม้จะชราภาพวัยถึง ๘๔ เศษ
ก็ยังห่วงใยพระศาสนา  โดยเฉพาะสถานการณ์ของวัดพระธรรมกาย  ซึ่งหวาดเสียวมาตลอด  เพราะมีกิจกรรมหรืองานใหญ่มาต่อเนื่อง  ตั้งแต่บวชพระเป็นพันเป็นหมื่นรูป  ซึ่งเป็นการบวชที่ไม่เคยมีบนแผ่นดินไทยมาก่อน  มีการทอดกฐินได้เงืนบริจาคมาเป็นพันๆล้านบาท  ซึ่งไม่เคยมีวัดไหนทำได้  มีการบวชอุบาสิกาแก้วแสนคน ซึ่งก็ไม่มีที่ไหนทำได้อีก  อีกทั้งการเผยแพร่และการหาทุนก็ทำกันอย่างอุตสาหะต่อเนื่อง มีรายได้มาสนับสนุนกิจกรรมของวัดเป็นล่ำเป็นสัน

   พระวัดธรรมกายหลายรูปได้ไปต่อต่างประเทศในมหาวิทยาระดับโลกก็ด้วยทุนพวกนี้  เช่น เมตตานันโท ภิกขุ จบแพทยศาสตร์จากจุฬา ฯ ก็มาบวชและป็นลูกรักของหลวงพ่อธัมมชโย ถึงขนาดหลวงพ่อส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยดังในอังกฤษและสหรัฐ  จนกระทั่งจบและมีโอกาสเดินทางไปแสดงความรู้ทั่วโลก

  ตอนผมไปญี่ปุ่นเจอ ดร.คนหนึ่ง เชื้อสายญี่ปุน-อเมริกัน ถามถึงผมว่า Do you know Venerable Mettanando ?  (รู้จักท่านเมตตานันโทไหม ?)  เมื่อผมรับว่า รู้จัก  เขาก็เปิดเผยตัวเองและชื่นชมท่านมากว่าเก่งมีความสามารถ และสุดท้ายเขาก็บอกว่า พวกผมเรียกท่านว่า  APARTMENT MONK  เพราะท่านชอบอยู่อพาร์ทเมนต์

@ พระคุณเจ้ารูปนี้ ปัจจุบันสึกแล้ว ท่านบอกผมว่า ที่สึกเพราะไม่มีวัดอยู่ ....พวกเรารู้จักท่านในนาม นายแพทย์  มโน  นามสกุลท่านผมลืม  ท่านผู้นี้สึกมาแล้วก็สมัครเข้าทำงานการเมืองเสนอตัวเข้าสมัคร สส.พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ผ่านการเลือกตั้ง ในที่สุดก็ไปรับราชการเป็นอาจารย์ใน ม.ธรรมศาสตร์
แต่ท่านยังป้วนเปี้ยนอยู่กับงานการเมืองจนกระทั่งได้แต่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการปฏืรูปกืจการพระศาสนา  ซึ่งตอนแรกดูเหมือนจะเข้าไปจัดการคณะสงฆ์ในภาพรวมตั้งแต่เก็บภาษีพระเณร  ภาษีวัด และลุกลามไปถึงขั้นจะยุบมหาเถรสมาคม งานนี้มีตัวโชว์สื่ออยู่คนเดียว คือ ไพบูลย์  นิติตะวัน  แต่เบื้องหลังมีเพียบเลยทั้งพุทธอืสระและอีกหลายคน และที่ขาดไม่ได้คือ คุณหมอมโน อดีตศิษย์รักของหลวงพ่อธัมมชโย  ผู้ใช้ชีวิตพระมานานถึง ๒๕ พรรษา ถือว่าอยู่ในขั้นมหาเถระ (พระผู้ใหญ่)

@ มีการประเมินกันว่า หลวงปู่พุทธอิสระ ไพบูลย์ นิติตะวัน และคุณหมอมโน ทำงานเข้าขากันดี  การที่คณะปฏิรูปเบนเข็มจากคณะสงฆ์ในภาพรวมมาลงที่หลวงพ่อวัดปากน้ำและวัดพระธรรมกายก็น่าจะมี "การตั้งธง" มาแล้ว แต่มองไม่ออกว่าใครเป็นเจ้าของธงหรือสั่งทำธง  ทว่าเท่าที่พอมองเห็นคือ ทำให้การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ล่าช้าและอยู่ในสภาพสุญญากาศจนป่านนี้ยังมองไม่ออกว่าจะเป็น "อสุญากาศ" เมื่อไร  ทั้ง ๓ ท่านนี้จึงน่าจะมีบทบาทสำคัญ  ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นกรรมของพ่อธัมมชโย ที่เลี้ยงลูกศิษย์ถึงได้กล้าแข็งขนาดนี้

@ มีเสียงแว่วมาว่า  หากจะให้ตั้งสมเด็จวัดปากน้ำเป็นสังฆราช  ต้องจัดการธัมมชโยก่อน  หากจัดการไม่ได้ หรือไม่ยอมจัดการ ก็เป็นหลวงตาช่วงต่อไป...เสียงแว่วนี้ไม่ดัง แต้ได้ยินแล้วน่ากลัว  และเชื่อได้ว่าจะป็นจริง

@ ผมไม่สนใจว่า สมเด็จวัดปากน้ำจะเป็นอะไร  ถึงอย่างไรท่านก็ยังน่าเคารพ เพราะเมตตาธรรมที่สมเด็จช่วงหลั่งไหลไปสู่สาธารณะนั้นมันยิ่งใหญ่มีค่ามากกว่ากว่าราคารถหรูแค่ไม่กี่ล้าน

@ แต่ที่สนใจ คือ ทำไมจึงมีการมองวัดพระธรรมกายว่าเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ? ซึ่งน่าจะชี้แจงให้ชัดว่า อันตรายต่อความมั่นคงด้านไหน ?  แต่ทีศาสนสถานของบางศาสนาที่สร้างไว้ตามตะเข็บชายแดนเพื่อผ่องถ่ายผู้คนของศาสนาเขาที่มาอย่างผิดกฏหมายให้กลายเป็นถูกกฎหมาย (จะเรียกว่า ฟอกคน ก็น่าจะได้)   กลับมองไม่เห็นว่าเป็นความมั่นคง   เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่เป็นพุทธหนักใจมาก  แต่คนมีอำนาจในสภาความมั่นคงกลับมองไม่เห็น ...น่าฉงน !

@ การตั้งธงให้วัดพระธรรมกายเป็นภัยค่อความมั่นคงน่าสนใจ ? ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ทำไมฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการนำธงไปปักให้วัดพระธรรมกายจึงกระตือรือร้นที่จะปักธงให้ได้  ? มีอะไรผลักดัน ? หรือมีอะไรเป็นแรงจูงใจ ? กระตือรือร้นจนลืมว่า พวกเขาควรต่อพระในพระพุทธศาสน่อย่างไร ? หากพวกเขาไม่ใช่พุทธก็ควรมีมารยาทต่อพุทธ หรือหากเป็นพุทธ แล้วทำไมจึงกล้าทำร้ายกับบุคคลากรในพระพุทธศาสนาอย่างนั้น

@ หากจะมองว่า หลวงพ่อธัมมชโยไม่เป็นพระแล้วตามข้อหาที่ DSI ตั้ง ก็ต้องถามว่า ยุติได้แล้วหรือ ? อย่าลืมว่า พระสงฆ์นั่น ยังมีกฏหม่ายอีก ๒ ฉบับ ที่ต้องใช้ตัดสินท่าน  คือ พระราชบัญัติคณะสงฆ์ ที่รัฐบาลสมัยจอมพลสฤษฎิ์ ร่างไว้ให้กับ พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ซึ่งพระวินัยบาง
สิกขาบทก็เข้ากับหมายทางบ้านเมืองได้สนิท แต่บางสิกขาบทก็ลึกซึ้งกว่ากฏหมาย  เชื่อไหมครับว่า อย่างการลักทรัพย์นี่  หากลักได้สำเร็จ คือ มีของมาอยู่ในการครอบครองของผู้ลักแล้วก็ถือว่า ทำผิดแล้ว  แต่ของพระ แม้การลักจะสำเร็จแล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับเป็นปาราชิกได้  เพราะต้องไปดูว่า เจ้าของเขายังมีเยื่อใยในของอยู่ไหม ? ถ้ามี ตัวนีเแหละยังคุ้มครองให้พระยังไม่เป็นปาราชิก  แต่ถ้าหมดเยื่อใย พระก็ต้องเป็นปาราชิกทันที
    ดังนั้น ทางออกก็คือ ต้องเอากฏหมายของบ้านเมือง กับ พระวินัยของพระพุทธเจ้ามาเทียบกันดู  ส่วรการขาดจากความเป็นพระหรือไม่ต้องยึดพระวินัยเป็นหลัก  ไม่ใช่เป็นเพราะกฏหมายของรัฐหรือโซเชียลเนตเวอร์คตัดสิน

@ แล้วทำไมไม่มามอบตัว ?  จึงอยากถามว่า การปฏิบัติการต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะพระสงฆ์มีการทำย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง ?  DSI ให้ความมั่นใจในการต่อสู้คดีแบบยุติธรรมแก่ผุ้กล่าวหาได้แค่ไหน ?  เพราะวันนี้สังคมไทยยังคลางแคลงใจในการตัดสืนคดีความของกระบวนการยุติธรรม  เนื่องจากหลายความผิดไม่น่ารอดก็รอด  แต่หลายคดีหาความผิดไม่ได้ก็ไม่รอด เพราะตรรกอิสระของท่าน

@ ผมว่า ประด็นนี้แหละ น่าจะป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ หลวงพ่อธัมมชโย ไม่ไปมอบตัว ....ผมเสนอไว้เล่นๆนะ.

https://www.facebook.com/banjob.bannaruji/posts/991524237629524

นายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีต สส.ก็งง #คนหาเรื่องพระ



เนื้อข่าว  :  24 พ.ค. 59 นายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง โพสต์รูปภาพ พร้อมระบุข้อความลงเฟซบุ๊กชื่อ "ชินวัฒน์ หาบุญพาด"  ระบุว่า บ้านเรามีเรื่องน่าแปลกมากครับ พระธัมมชโย นำพระสงฆ์ ญาติโยม เดินบิณฑบาต เพื่อโปรดญาติโยม และเผยแผ่คำสอทางพระพุทธศาสนา พระธัมมชโยรับบริจาคเงินที่เขามาถวายจากผู้บริหารสหกรณ์ฯนำมาสร้างวัด โดยไม่ทราบว่าเงินนั้นมาอย่างไร พอทราบก็นำเงินคืน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายบริหารของสหกรณ์บอกว่า พระธัมมชโยไม่เกี่ยวข้องกับการที่ผู้บริหารสหกรณ์ฯทุจริต แต่หน่วยงานยุตติธรรมของไทยตั้งข้อหาฟอกเงินมีความผิด ออกหมายจับบังคับให้ไปรับข้อกล่าวหา ทั้งๆ ที่อาพาธ
 
นายชินวัฒน์ ระบุต่อว่า อีกด้านหนึ่ง มีเปรตสองตัว ตัวนึงอ้างว่าเป็นพระ อีกตัวนึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานฯ เปรตตัวที่อ้างว่าเป็นพระเคยพาสมุนชุมนุมทางการเมือง ปล้นโรงแรม สมุนฆ่าคน ทำร้ายคน ปิดศูนย์ราชการ ปิดถนน ยุ่งการเมืองทุกเรื่อง และในขณะนี้ทราบว่าส่งสมุนไปประะท้วงสถานทูตสหรัฐฯ เปรตสองตัวนี้ ตัวนึงมีหมายจับ แต่ไม่เคยมีใครจับยังปล่อยให้เพล่นพล่านกวนเท้าชาวบ้าน ส่วนเปรตอีกตัวนึงมีประวัติเลวทรามมาก มันเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับประเทศไทย แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงว่าการสองมาตรฐานนี้จะนำไปสู่ความวิบัติสูงสุดอย่างที่ใครคาดไม่ถึง ผมได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เกิดเลย แต่มีบางคนบอกผมว่ามันหลีกเลี่ยงอีกไม่ได่แล้วครับ

มาจาก http://www.naewna.com/local/217257

หนังสือพิมพ์แนวหน้า อ้างมาจาก https://goo.gl/Zsrkes

จตุพร พรหมพันธุ์ สุดทน#คนรังแกพระ

ประธาน นปช. เย้ยดีเอสไอโหมข้อหาหมายจับในคดีเล็กๆ  ให้เป็นคดีใหญ่จะไปจับคนฆ่าคนตาย เตือนเปิดศึกความเชื่อของคน จะทำให้กลายเป็นปัญหาผึ้งหยดเดียว ประชดคดี กปปส.โทษขั้นประหารชีวิตยังดองเรื่องเงียบได้ กังขาเล่นงานพระธัมมชโยให้ลุกลามสร้างผลสะเทือนพุทธศาสนา ด้วยความสะใจของบางฝ่ายหรือ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล เมื่อ 27 พ.ค. ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และอัยการพิเศษ กำลังสร้างปัญหาเล็กๆ กรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่รับทราบข้อหารับของโจรและฟอกเงิน กลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งกำลังหาเรื่องกับความเชื่อ ความศรัทธาของคน แล้วจกลายเป็นปัญหาจากน้ำผึ้งหยดเดียว และแก้ไขได้ลำบากยิ่งขึ้น

นายจตุพร กล่าวว่า ดีเอสไอ โหมสร้างข่าวกรณีพระธัมมชโย เหมือนกับจะไปจับคนร้ายฆ่าคนตาย ทั้งที่ทางออกอื่นให้จัดการ รวมถึงถ้านำไปเปรียบกับคดี กปปส. แล้ว จะเห็นแนวทางชัดขึ้น เพราะอัยการยังค้างคดีกปปส. ที่มีผู้ต้องหากว่า 20 คน ในคดีร้ายแรง 9 คดี และดีเอสไอทำสำนวนสอบสวนให้ฟ้องศาล แต่กลับยังนิ่งเฉยอยู่ไม่ดำเนินการ

ส่วนวัดธรรมกายมีสานุศิษย์ทั่วประเทศกว่า 6 ล้านคน เมื่อมาปฏิบัติธรรมก็นั่งกันเรียงแถวสงบ น่าสรรเสริญ หากวัดหลอกลวงให้คนบริจาคจนสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว ในหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ย่อมปิดไม่มิด และเงินที่ประชาชนไปทำบุญ ถ้าพระธัมมชโยนำไปใช้ส่วนตัว คงปิดตาของศิษย์นับล้านคนไม่ได้เช่นกัน

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีของพระธัมมชโยไม่ได้มั่วหมองแบบถูกนารีพิฆาตพระ แต่การโหมประโคมข้อหาความผิดเกี่ยวกับเงินประชาชนไปทำบุญ รวมทั้งพยายามอธิบายว่า วัดเป็นกลไกของฝ่ายเสื้อแดง ดังนั้น ปัญหานี้จะลามไปถึงวัดปากน้ำในกรณีรถโบราณ โดยตนเชื่อว่า กรณีพระธัมมชโยจะลุกลามไปถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นอกจากนี้จะพุ่งไปสู่มหาเถรสมาคม (มส.) จนทำให้พระชั้นสมเด็จต้องได้ผลกระทบกระเทือน

ดังนั้น คณะสงฆ์ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายควรคิดกันใหม่ เพราะการคิดแบบเดิมจะนำไปสู่ปัญหาของพุทธศาสนา ซึ่งหลายประเทศต้องล้มสลายลง ขอให้นำบทเรียนจากประเทศเหล่านั้นมาศึกษา และตนขอให้คณะสงฆ์มองไปสู่อนาคตว่า สิ่งที่ลามมาจากวัดธรรมกายแล้วจะลงไปสู่ปัญหาอื่นๆที่จะกระทบต่อพุทธศาสนาของไทย

นายจตุพร กล่าวว่า ความแตกแยกที่ฝ่ายหนึ่งพยายามจะทำให้เกิดขึ้น หากคณะสงฆ์เข้าใจแล้ว คงทำได้ยาก โดยมีสิ่งที่น่าสนใจคือ การไม่อุดหนุนงบประมาณจัดงานงานวันวิสาขบูชาตลอด 3 ปี ย่อมแสดงถึงปัญหาที่กำลังลามไปถึงพุทธศาสนาของไทยแล้ว

วันนี้ถ้าต้องการลุแกอำนาจ หักด้ามพร้าด้วยเข่า ทั้งที่มีแนวทางอื่นให้ทำได้แต่ไม่ทำ ซึ่งพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม แสดงออกให้ดีเอสไอถอยแล้ว เพราะหวั่นเกิดเหตุวุ่นวาย แต่กลับมีความพยายามประโคมโหมข่าว เพื่อจะเข้าไปจัดการ ส่วนคดี กปปส. มีอัตราโทษรุนแรงกว่ามาก อัยการและดีเอสไอกลับนิ่งเงียบไม่จัดการ

"ปัญหาวัดพระธรรมกายไม่มีความสลับซับซ้อน ไม่ได้เกิดการซ่องสุ่มกำลังประชาชน สานุศิษย์ มาปฏิบัติธรรมอย่างสงบ ถ่ายทอดออกทีวีของวัด ได้เห็นเหตุการณ์เป็นปกติ ผมจึงสื่อสารกรณีนี้เพื่อต้องการย้ำว่า อย่าทำให้เรื่องนี้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะต้องการเพียงความสะใจ เพื่อจะจัดการดาบเดียวให้สิ้นซาก แต่การพยายามอยากมีเรื่องกับความศรัทธาของคนเป็นล้านจึงหนักมาก โดยข้อหายังไม่ชี้ชัดว่า ผิดชัดเจน ยังมีขั้นตอนหลายศาลจะบ่งชี้ได้ ต้องสู้คดีกันอีกนับ 10 ปี" ขออย่ายึดหลักกฎหมายจนเสียสติกัน บ้านเมืองจะย่ำแย่"

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ต้องการทำลายประชาธิปไตย และสัญญาจะปกป้องธุรกิจต่างชาติให้ดีที่สุด นายจตุพร กล่าวว่า ใครก็พูดได้ แต่เป็นเสียงออกจากปากหรือจากใจ และจริงหรือไม่จริงกันอย่างไร ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนได้ชัดเจน

วันนี้ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แม้นายกรัฐมนตรีจะบอกว่า มีประชาธิปไตยถึงร้อยละ 99.99 ก็ตาม แต่ทางปฏิบัติแล้วไม่ใช่ เพราะความแตกต่างระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตย กับไม่เป็นประชาธิปไตย คือ ประชาธิปไตยย้ายข้าราชการได้เพียงคนเดียวในระดับ ซี 11 แต่นายกรัฐมนตรีและฐานะหัวหน้า คสช. สั่งย้ายได้ทุกระดับ ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นรัฐบาลจากประชาธิปไตย

ส่วนการทำประชามตินั้น ตนไม่วิตกกับผลที่จะออกมาเลย แม้กลไกฝ่ายบ้านเมืองแฝงไปทั่วพื้นที่ แต่พวกตนไม่หวั่นกับความได้เปรียบของฝ่ายกลไกรัฐเหล่านั้น ถ้ามีคนมาใช้สิทธิ์เกินร้อยละ 80 แล้ว พวกตนยังเชื่อมั่นกับผลจะออกมาด้านดีอยู่

นายจตุพร กล่าวว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงประชามติมากถึง 50.8 ล้านคน เมื่อแยกตามภูมิภาคสามารถใช้สิทธิ์ตามดุลพินิจของแต่ละคนแล้ว ประชาชนจะได้ใช้โอกาสนี้เพื่อตัดสินว่า จะเอาการปกครองระบอบอะไร ดังนั้น พวกตนจึงชวนคนมาใช้สิทธิ์ และจะตั้งศูนย์ปราบโกงวันที่ 5 มิ.ย. นี้  แล้วจะกระจายทั่วประเทศให้ประชาชนมาแจ้งการโกงประชามติ เพื่อปะสานงานกับคะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในขั้นตอนถัดไป

"วันนี้เส้นทางประชาชนเดินมาถึง 2 ทาง แต่ไม่ใช่ความแตกแยกกัน แต่เป็นทางระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ โดยประชาชนจะต้องตัดสินใจเลือก ซึ่งทุกฝ่ายต้องยอมรับผลกาเลือกเช่นกัน ดังนั้น การโหมว่า ประชามติจะผ่านหรือไม่ก็มีเลือกตั้งปี 2560 แต่สิ่งต้องคิดใคร่ครวญคือ อนาคตของลูกหลานจะอยู่ในสังคมทนทุกข์อย่างไรหรือไม่"

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้เราต้องเผชิญกับปฏิบัติการข่าวสารหรือ ไอโอของทหาร ซึ่งต้องยอมรับถึงการโกหกได้หน้าตาเฉยเลย แต่เมื่อประชาชนยึดมั่นปลายทางเรื่องประชาธิปไตยแล้ว จึงต้องเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าได้ไปหลงกับพวกประชาธิปไตยปลอมและเผด็จการจริง ซึ่งจะทำให้แบกทุกข์สาหัสกับปัญหาเศรษฐกิจอีก

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อั้ม อิราวัต อารีกิจ ก็มา

สมัยเรียน ปี1
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จะมีชมรมพุทธศาสน์ ของมหาวิทยาลัย
จัดงานบุญ จัดใส่บาตรทุกๆสัปดาห์

ผมไม่ได้อยู่ชมรมนี้..
แต่ก็เข้าร่วมงาน เป็นระยะ
ตามจังหวะเวลา ที่จะเข้าร่วมได้

ได้มีโอกาส ช่วยเหลือเพื่อนๆในชมรม
เข็นของใส่บาตร เก็บโต๊ะ เก็บสถานที่
ก็สนุกดี และรู้สึกดี

แน่นอนว่า..
ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้น
ว่าแนวทางของชมรมพุทธฯ
ซึ่งไม่ได้มีแค่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่มีแทบทุกสถาบัน..
มีการสืบทอดคำสอนและกิจกรรมศาสนา
ตามแนวทางของ "ธรรมกาย"

บางอย่าง ลงลึกไป
บางอย่าง ผมไม่เข้าใจตรรกะและเหตุผล
ผมก็ไม่ทำ และไม่เห็นด้วยที่จะทำ
พูดง่ายๆ..ผมไม่สนใจ

ผมเลือกจะทำ ในสิ่งที่ผมพอใจ
และรับเหตุผลได้ ตามโอกาส

แต่ก็ไม่ได้ไปหมิ่นหยาม ลบหลู่ใคร
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย
หรือพระสงฆ์องค์เจ้าในแนวทางดังกล่าว

- - - - - - - - - - - - - - - -
แน่นอน ว่าพูดแบบนี้
ก็ชัดเจน ว่าตัวผมเอง "ไม่ได้เป็นธรรมกาย"
แค่ไม่ชอบอะไรที่ "ไม่เป็นธรรม"

แม้แต่..
หากมีใครใช้กฎหมาย
ไปกลั่นแกล้ง "ศัตรู" ของผมก็ตาม
หากกระทำแบบไม่เป็นธรรม
ผมก็ไม่เห็นด้วย..

ไม่ใช่สงสารศัตรู
แต่สงสารตัว(กู)เอง นี่แหละ
ไม่รู้ว่าวันไหน ความไม่เป็นธรรม
ความไร้บรรทัดฐานแห่งกฎหมาย
มันจะย้อนมาที่ตัวเราและคนใกล้ชิด
หากปล่อยให้ทุกสิ่ง "ไร้หลักการ" แบบนี้.

fb : อั้ม อิราวัต อารีกิจ
https://www.facebook.com/doctorum.irawat/posts/10210181383119474





อรรถชัย อนันตเมฆ ก็มา

#อรรถชัย อนันตเมฆ# อดีตพระเอกละครทีวี...



   วันนี้ ดีเอสไอ จับพระเพราะอะไร ...คนไทยอาจ งง ๆ  ไม่ชัดเจน รู้แต่จะจับ ให้ได้
ผมลองทบทวน  ได้ความว่าที่จะจับ เพราะ ข้อหา" พระรับของโจร"
หากคิดต่อไปอีกนิด อื่ม มันก็ แปลก ๆ เกิดมาไม่เคยได้ยินว่าพระรับของโจร ...
พระมิใช่ โรงจำนำ ไม่ใช่ร้านรับซื้อของเก่า ธรรมกาย มิใช่ตลาดมืด พระมิได้เหมือนบุคคลปกติ ที่จะ รับซื้อ ..รับขาย
มีแต่ต้องถวายเท่านั้น ..

เมื่อเป็นแบบนั้น ก็ มีเรื่องให้ต้องพิจารณา
1 โยมถวาย พระ ไม่รับ ได้ไหม ..ไม่มีเหตุ ไม่รับก็ อาบัติ

2  โดยเฉพาะเมื่อ โยมถวายเป็นปัจจัย ส่วนกลาง มิใช่สมบัติส่วนตัว พระมีหน้าที่เป็นคนกลางในการรับมอบเท่านั้น ...ไม่ทำหน้าที่ได้อย่างไร

3  พระจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนเป็นของโจร หรือ ไม่เป็น  โจรจะบอกไหมว่า ผมเป็นโจรขอถวายเงินที่ปล้น ..???

4 เมื่อรู้ว่าเป็นของโจร ก็ คืนแล้ว ..แสดงเจตนาบริสุทธิ์

5 เงินก้อนเดียวกัน โยมคนเดียวกัน นำไปกระจายใช้ในหลายลักษณะ ทำไม เจาะจงมาเอาผิดเฉพาะพระ

คดีกล่าวหาพระรับของโจร เป็นคดี ไร้สาระแท้ ๆ ขึ้นศาลไปหากตาชั่งไม่เอียง ก็  มีโอกาสชนะ เสียเวลาทำงานของ ศาลเสียปล่าว ๆ
ความจริง ดีเอสไอไม่ควร เอามาเป็นเรื่องเสียด้วยซ้ำ ..
แต่ ดีเอสไอ โดยนาย ไพบูรณ์ ก็ ทำ ....

มันเห็นได้ชัดว่าทำเพราะ มีเป็าหมาย ...จำเพาะเจาะจง ..

เพราะ แม้ต่อไปคดีจะยกฟ้อง ก็ คงไม่สำคัญแล้ว   เพราะ พระธัมมชโย ต้องมลทิน  ติดคุก ติดตะราง  สึกจากความเป้นพระไปก่อนแล้ว ...

ทุกอย่าง จะ สำเร็จตามความต้องการของ นายไพบูรณ์ และ ทีม ..
ที่รับงานมา " สึกพระ " ทำลายธรรมกายไปเรียบร้อย

ผมเคยบอกแล้วว่า ผมไม่ได้เป็นศิษย์ธรรมกาย
แต่ขอยืนข้างธรรมกาย เพราะ... เชย์ กูวาร่า

เอ๊า ....เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า..
" เมื่อคุณเห็นความอยุติธรรม แล้วโกรธจนตัวสั่น ...
เราคือพวกเดียวกัน ..."

#อรรถชัย อนันตเมฆ

งิ้ว


สับสนกับบทบาทของตัวละครงิ้วโรงนี้ไหม  ช่วงนี้งิ้วกำลังร่ายรำยกทัพจับศึก แต่ละตัวมีคาแรคเตอร์อย่างไร

คนดูท่านนี้สรุปได้ดี



น้องวิ : เอาทหาร 2 กองร้อยบุกเข้าไปจับตัวเลย
พี่บูลย์ : ใช่ เอาตัวมาไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้
มะนาว : ผมรู้มาว่าใต้กุฏิมีอุโมงค์ลับ
เฮียต๊อก : จับตัวไม่ได้ ก็ฟ้องโดยไม่ต้องมีผู้ต้องหา
ผู้พิพากษา : ไม่ได้ตัวผู้ต้องหาก็ฟ้องไม่ได้โว้ย
ลุงชวนเสียงหล่อ : สมัยผมทำตามกระบวนการกฎหมาย
ลุงตู่เสียงเข้ม : เรื่องนี้ลุงจะไม่ยุ่ง แค่เรื่องของลุงก็ปวดหัวพอแล้ว
ดีเอสไอ : ถ้ายังสรุปไม่ได้ เดี๋ยวตัดข้าวตัดน้ำไปก่อน
รองอัยการ : ผมว่าทั้งหมดนั้นมันมั่วมาตั้งแต่ต้น

สรุปว่าเสียงแตกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่ง ใช้ความรุนแรง จับได้ก็สึก ไม่ให้ประกันตัว
ฝ่ายที่สอง ใช้ความนุ่มนวลตามกฎหมาย
แต่ฝ่ายที่สองก็ยังแตกเป็นสองเสียง
1. ฟ้องไปก่อน นำตัวมาทีหลัง
2. นำตัวมาก่อน ถึงจะฟ้องได้

ฝ่ายประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างนานา

ลุงชัย : อะไรหว่า พระป่วยมารับทราบข้อกล่าวหาไม่ได้
วางแผนจับอย่างกับอาชญากร

ชายสี่ : มันอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ยเรื่องธรรมกาย

เฮียปื๊ด : ข้อหาก็เกินไป เป็นผู้รับบริจาค
แต่หาเรื่องแกล้งท่าน ตั้งข้อหาฟอกเงินรับของโจร

ยายปริก : รับบริจาคกันตั้งหลายที่ แต่ไล่บี้อยู่คนเดียว


ปู่สิงห์ : แบบนี้ มันหาเรื่องแกล้งพระนี่นา ไหนหว่าความยุติธรรม

น้องไมน์ : พวกผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน แกล้งพระเหรอ

----------------------------------------------------------------

๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙

๗.๔๕ น.



เขียนได้ดีนะครับ สำหรับท่านนี้ สรุปได้ดีเลย เห็นภาพชัดว่าแต่ละคนท่องบทตัวเองอย่างแข็งขัน  สงสัยอยู่สองเรื่อง  ว่า
เรื่องที่หนึ่งท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าจัดการฝ่ายพระไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ นี่ หมายความว่า รับงานเจ้าของวิกมาแล้ว ไม่เล่นให้จบเรื่อง ก็จะโดนมิใช่น้อยใช่ไหม

เรื่องที่สองคือ เจ้าของวิก ท่านนี้ สะสมตัวละครมาจากไหน ช่างเก่งกล้าสามารถ  แต่ว่าเล่นจนชาวบ้านเค้าไม่ดู ไม่นิยม น่าจะปิดวิกไปได้นานแล้ว  ไม่ต้องมาพยายามถอนทุน อะไรกันอีก ที่ขนไปก็มากพอแล้ว

เห็นแก่ คนดูเถอะ รีบๆ ไปให้พ้นๆ ซะที  เบื่อเต็มทนแล้ว นะจ๊ะ  ถ้าเบื่อมากกว่านี้จะหาหินขว้างหัว เจ้าของวิกละนะ

วิ. 28  พค. 59
.

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

โดดเดี่ยวผู้น่ารัก



แปลว่า

ดีเอสไอ จะทำอะไรก็ไม่มีใครไป รับผิด ด้วย ถ้าจะมีความผิดใดเกิดขึ้นทั้งทางโลก และทางกฏแห่งกรรม ดีเอสไอ ก็รับไปก่อนเต็มๆ นะ  คนที่สั่งก็เป็นที่สอง  คนที่สั่งคนสั่ง ก็รับกันต่อไป คดีความก็สิบกว่าปี เกษียณแล้วก็ยังต้องมาติดคุกตาราง เหมือนรุ่นพี่ดีเอสไอที่ผ่านมา 
โชคดีนะ

แนะแหน

   



ช่างกระแนะกระแหน  นะ   ไม่รู้สถาบันไหนสอนช่างนี้   เคยเห็นแต่ช่างไฟฟ้า ช่างยนต์   แต่เห็นแล้วก็ขำๆ นะ  องค์นึง ตลอดชีวิต คำพูดที่ระคายหูไม่เคยให้หลุดออกจากปาก มีแต่คำเพชรคำพลอย  อีกด้านหนึ่ง อย่างฟ้ากับเหวลึกลึกลึก   พูดอะไรมาแต่ละที ออกมาแต่ละคราว อยากจะหายาล้างตา ล้างหู มาทำความสะอาดแท้

ทหาร ที่มีใจเป็นธรรม เขียน พวกเราอ่าน

มีเรื่องที่ทหารท่านหนึ่ง เขียน น่าอ่าน น่าศึกษา มีสองลิงค์ อันหนึ่งเป็นกลอน
อันหนึ่งบนบทความ

ลองอ่านดู  อ่านดี  อ่านแล้วมีประโยชน์ เอาไว้ตอบคำถามได้





กลอน   https://goo.gl/cH3mp2

บทความ   https://goo.gl/R817tk

อ่านบทความแล้ว ได้ข้อคิดอย่างไง คอมเมนต์ทิ้งไว้ในนี้สักหน่อย

ปรากฏการณ์พิเศษ แบบนี้ ล้านปีมีครั้งเดียว



ในดีมีเสีย ในเสียมีดี คำนี้ คงเป็นที่พิสูจน์ตัวมันเองมาทุกยุคสมัย


วันนี้บ้านเมืองเรา ก็มีอะไรแปลก มากอยู่แล้ว คนเคยกินข้าวอยู่ด้วยกัน วันหนึ่งซื้อเสื้อมาคนละสี ก็ตีกันไม่เลิก เด็กไม่เคารพผู้ใหญ่ ผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงที่สวยกว่าผู้หญิง ผู้หญิงมีหนวดกล้ามลั่ม รัฐบาล พระสงฆ์องค์เจ้า ทุกอย่างแปลกไปหมด

ขนาดวันนี้มีเรื่องคดีความของวัดพระธรรมกาย ก็ยังมีคนให้ข้อคิดดีดี อย่างวันนี้มีคนเขียนในเฟดบุค อ่านแล้วทำให้ได้ข้อคิด ว่าพิสูจน์คำพูดที่ว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี อีกครั้ง ลองอ่านกันดู



@@@@@@@@@@@@@


จากคุณ ฤทธิชน คะนองธรรม


จับกระแสเรื่องธรรมกาย แบบหยาบๆ ไม่ลงลึก ค้นพบว่า


หนึ่ง คนที่ไม่เคยชอบธรรมกาย เริ่มเห็นใจธรรมกาย เมื่อเทียบกับที่ รัฐบาลปฏิบัติต่อ พุทธอิสระ ด้วยมาตรฐานที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว


สอง คนที่ฝักใฝ่ธรรมกาย ที่มุ่งแต่ธรรม เริ่มสนใจการเมืองและถูกผลักให้ไปปนกับกลุ่มคนที่ไม่ชอบรัฐบาล เผด็จการ คสช.




สาม จากเรื่องที่ผู้คนไม่สนใจเท่าไหร่นัก กลายเป็นว่า ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่า "อะไรของมันนักหนา" และ เริ่มค้นหา ที่มาที่ไป และปะติดปะต่อ ลำดับเรื่องราว โยงใยความสัมพันธ์ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ตาสว่าง" จากมิติของวงการสงฆ์


กระแสนี้ เทียบได้กับ คลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัว และแผ่กว้างออกไป


อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ส่วนเมื่อเกิดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร ยากที่จะคาดเดาได้



ที่มาจาก : https://goo.gl/J0r4FA



@@@@@@@@@@@@@


ที่จะถามคือ หลังจากตาสว่าง แล้ว คนเหล่านี้จะเป็นอย่างไง วัดพระธรรมกาย คงต้องเตรียมรองรับคนเพิ่มอีกละมั้ง





มาตรฐานดีเอสอาย

นี่ก็เขียนดี จากไลน์วันนี้ 27 พค 59

logo สวยๆ จากอินเตอร์เนท  ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา


.........มาดูมาตราฐานของ DSeye กันครับ.............

1. เมื่อวาน ยกคณะ พร้อมเอกสาร .....ไปที่เรือนจำ ....เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ นายศุภชัยเพิ่ม ฐานฟอกเงิน ...555....สงสัยไหม ตอนจับขังคงลืมแจ้งข้อหานี้มั่ง..555......เจตนา DSeye ก็คือจะเอาผิดหลวงพ่อให้ได้ จึงเข้าไปแจ้งข้อหาเพิ่มฐานฟอกเงิน .....หึหึหึ เห็นเจตนาชัดไหมครับ

http://www.thairath.co.th/content/625289

2.เมื่อวานสามารถเข้าไปแจ้งข้อหาเพิ่มเติมถึงในคุกได้......ก็หมายความว่า  " DSEye สามารถไปแจ้งข้อหา ผู้ถูกกล่าวหา ที่ไหนก็ได้ทั่วไทย "......แต่ถ้าจะไปที่วัดใหญ่ บอกผิดขั้นตอนของกฏหมาย ทำไม่ได้.........555 ขำ น้ำตาจิไหล......

3.เมื่อวานการแจ้งข้อหาเพิ่ม แต่อยู่ในคุก 6ชั่วโมง ถึงออกมา.......DSeye อ้างว่า สอบปากคำเพิ่มเติม......แต่ผมมองว่า เป็นการกดดัน เพื่อที่จะให้ นาย ศุภชัย กลับคำให้การเอาผิดหลวงพ่อ มากกว่าครับ......เพราะ นายศุภชัย เคยให้ปากคำไปแล้วว่า "ทำคนเดียว หลวงพ่อไม่เกี่ยวข้องด้วย " ประมาณนี้ครับ.......ถ้าเป็นแบบนี้ DSeye จะเอาผิดหลวงพ่อยากขึ้น จึงมากดดันเพื่อจะให้กลับคำให้การใหม่.....ก็เป็นดังคาดการ....DSeye กลับออกมา ดีใจใหญ่ บอกได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี.............ใครๆก็มองออกว่า เข้าไปครั้งนี้ มีเจตนาอะไรครับ.....

4.DSeye ออกมาประกาศว่า ถ้าจับมาได้ จะไม่ให้ประกันตัว จะจับเข้าคุกเลย ......ให้ไปขอประกันตัวกับศาลเอง ซึ่ง DSeye คงคัดค้านการประกันตัวแน่ๆครับ......นี้แหละ เห็นเจตนาร้าย ของDSeye ก็คราวนี้แหละครับ.......

ชัดไหม.......เจตนาจะเอา หลวงพ่อเข้าคุกให้ได้......

....ผมมองว่า การกระทำแบบนี้มันคือ " การรังแก กันทางกฏหมาย "ครับ......

....คงต้อง ยื้อกันให้ถึงที่สุดจริงๆซะทีครับ........จนกว่า ฟ้าจะเปิดครับ.....

ปล. สมมุติ....ถ้ามีเหตุการณ์ ปะทะกัน กับทหาร ตำรวจ ....ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ และ อย่าไปโทษว่า หลวงพ่อสั่งเลยครับ ท่านนอนป่วยอยู่.......มีแต่ลูกศิษย์ที่รักหลวงพ่อ คิดกันเองครับ...

ปล.2 เป็นความคิดเห็นผมคนเดียว ไม่เกี่ยวกับใครนะครับ

ซ้ำรอยหลวงพ่อพิมลธรรม?




ฤๅ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยพระพิมลธรรม ดร. วิชัย ดร.เรวัตร์ วัดธรรมกาย 26may2016
https://youtu.be/h29so9xzmQc

อดีตธรรมฑูตพูดถึงห้องกระจก

เปิด"ห้องกระจก"วัดบวรฯ เผยผู้บงการกำจัด"ธรรมกาย"สะกัด"สมเด็จช่วง"เป็นสังฆราช 
Published on May 26, 2016
นายนิยม สุนทรพฤกษ์ อดีตพระธรรมทูตในสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เกี่ยวกับคณะบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ทำงานอยู่ใน"ห้องกระจก"ว­ัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็น สำนักงานเลขานุการของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ว่า มี 2 คนที่อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีพระฆราวาสรวมกันเป็นคณะบุคคล เรียกได้ว่าเป็นเจ้าเหนือหัวของพระ มีพฤติกรรมข่มขู่พระอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งก็ทำหน้าที่ที่ไม่ได้เป็นพระป­ระสงค์ของสมเด็จพระญาณสังวรฯ เช่นการใช้พระลิขิตไปในทางมิชอบหรือเรียกว­่าปลอมพระลิขิต โดยเฉพาะเงินประจำตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช­ปีละ 32 ล้านบาทที่รัฐบาลจัดสรรให้ ช่วงที่สมเด็จพระญาณสังวรฯ อาพาธ เป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ได้เงินดังกล่าวเลย สมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศ รักษาการสมเด็จพระสังฆราชก็ไม่ได้ใช้เงินก­้อนนี้ รวม ๆ กันแล้วประมาณกว่า 300 ล้านบาท ซึ่ง คณะบุคคลในห้องกระจกเป็นผู้ใช้เงินดังกล่า­ว ฝากให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ให้ดีเอสไอ หรือ สตง.ปปช.เข้าไปตรวจสอบด้วย และคณะบุคคลในห้องกระจกนี้ คือกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง พระพุทธะอิสระ และต้องการจะกำจัด พระธัมมชโย รวมทั้ง ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

เสียงเตือนจากคนในสภาปฏิรูป ครั้งที่2

เมื่อความเชื่อมั่น
ในกระบวนการ ยุติธรรม
ของภาครัฐ ไม่เหลือศรัทธา
ในใจประชาชน

      การบุกจับพระ การละเลย
ขั้นตอนที่ควรจะเป็น
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(DSI) เป็นการทำลายศรัทธาของ
ประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม
ของภาครัฐลงอย่างสิ้นเชิง
ขั้นตอนที่ละเลยไปนั้น เป็นการ
ก่อให้เกิดชนวนความขัดแย้ง
ที่ร้าวลึกตอกย้ำลงไปในใจของ
ประชาชน 
       พระสงฆ์ ก็เป็นประชาชน
ภายใต้ราชอาณาจักรไทย การ
ละเลยให้ประชาชนที่เข้าสู่
กระบวนการยุติธรรมต้องโดดเดี่ยว
ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ทั้งๆที่ควรจะเป็น
หน้าที่ของภาครัฐ 
ที่จะต้องอำนวยความยุติธรรมอย่าง
เท่าเทียม ไม่ว่าประชาชนนั้น
จะมาในฐานะใดก็ตาม ในฐานะของ
ผู้ถูกกล่าวหา ฐานะผู้ต้องหา หรือ
ฐานะโจทก์ จำเลย ใดๆก็ตาม
เป็นหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการ
ยุติธรรมที่จะต้องใช้ความรู้ความสามารถ
ช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แบ่งฝักฝ่าย
เพือประโยชน์สูงสุดของประชาชนในการ
ที่จะได้รับความเป็นธรรม
      เมื่อ ดีเอสไอ เป็นบุคลากรที่อยู่ใน
กระบวนการยุติธรรม มีทั้งหน้าที่
และมีอำนาจในการอำนวยความยุติธรรม
แต่หากอำนาจและหน้าที่นั้นไม่อาจ
กระทำให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม
ได้แล้ว ก็คงจะต้องมองไปที่จิตสำนึก
จิตสำนึกในการเป็นบุคลากรทึ่กระทำ
หน้าที่อำนวยความยุติธรรมแม้จะมิได้กระทำ
ภายใต้พระปรมาภิไธย 
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่
วันนี้ ดีเอสไอ ได้ใช้จิตสำนึกนั้น
แล้วหรือยัง
คงไม่ต้องให้บอกนะ
ว่าท่านพลาดในเรื่องใด
เรียนผูกก็เรียนแก้เอาเอง

ศศินภา
นิติธรรมปพน
อดีตคณะกรรมการปฏิรูปแนวทาง
และมาตรการปกป้องพิทักษ์
กิจการพระพุทธศาสนา
สภาปฏิรูปแห่งชาติ
  ๒๖ พฤษภาคม. ๒๕๕๙

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ระวังตกหลุม... ลิฟท์

ระวัง นะ


(warning)
บ้านไหนมีลิฟท์รุ่นเก่าที่บ้าน
ต้องระวังกัน นะครับ

เมื่อวานก่อน ท่านผู้หญิงอังกาบ อจ.ใหญ่
ร.ร.จิตรลดา เดินตกไปในช่องลิฟท์ชั้น 1
(ลิฟท์โบราณ ตัวลิฟท์ยังค้าง
อยู่ที่ชั้น 2)
เปิดประตูลิฟท์ชั้น 1 ไม่ทันดู ว่าไม่มีลิฟท์ เดินเข้าไปเลย ตกหลุมลิฟท์ลึกประมาณ 60-70 cm

     นิ้วมือขวาฉีก เย็บ 6 เข็ม
     นิ้วก้อยเท้าซ้ายหัก เข้าเฝือกอ่อน





อายุก็มากแล้ว ระวังนะ ตกจากที่สูงนะป้านะ    ปกติตกอย่างนี้  ... ไม่น่า..   เอ้อ

เดินระวังๆนะ

รีบส่งฟ้องเลย...



ฟอด ฟอด ฟอด

เสียงไรหว่า...


ตกลง ก็ง่ายๆ นี่ท่าน ก็ให้ดีเอสไอไปยื่นอัยการ แล้วก็ให้เช็คว่า มันเรื่องเดิมไหม ถ้าเรื่องเดิม ก็ยกเลิก เจ๊ากันไปนะท่านนะ



ถ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ก็ว่ากันไป   หลวงพ่อแข็งแรง ก็ไปนั่งคุยกัน

แต่เรื่องนี้ปีก่อนก็ฟ้องร้อง ยกฟ้องไปแล้ว

เสียเวลาปฏิบัติธรรมจัง..นะ

จากเนื้อข่าว ผู้จัดการ



“รมว.ยุติธรรม” หวั่นเหตุวุ่น ลั่นไม่จำเป็นต้องจับ “ธัมมชโย” สามารถส่งฟ้องศาลได้เลย
       
       วันนี้ (26 พ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้โฟนอินให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการ “ขยายข่าว” ทางช่อง TNN 24 ถึงกรณีดีเอสไอเตรียมเข้าจับกุม พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่า พรุ่งนี้ (27 พ.ค.) ดีเอสไอจะมีการประชุมเพื่อทำตามหมายจับ ตนก็ยังไม่รู้ว่าผลต้องรอประชุมเสร็จก่อน
       
       ทั้งนี้ ตนได้สั่งการกับดีเอสไอ ว่า หากเกิดเรื่องวุ่นวาย หรือสถานการณ์ตึงเครียด ก็ไม่จำเป็นต้องจับ ถอยออกมาตั้งหลักใหม่ แล้วหาทางออกวิธีอื่น
       
       “ท้ายสุดมันก็มีหนทางออก ฟ้องศาลไปเลยโดยไม่มีผู้ต้องหาก็ได้ ก็ทำได้หมด แต่ต้องแถลงต่อศาลให้เข้าใจว่าทำไมไม่มีผู้ต้องหามาเวลาฟ้อง มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า เวลานั้นดูกันอีกที แต่สุดท้ายไปถึงตรงนี้ได้” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว 

http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9590000053090
   “พล.อ.ไพบูลย์” หวั่นเหตุวุ่นวาย ได้ไม่คุ้มเสีย ลั่นจับ “ธัมมชโย” ไม่ได้ก็ไม่ต้องจับ ให้ดีเอสไอถอยมาตั้งหลักใหม่ ยันท้ายที่สุดยังไงก็ส่งฟ้องศาลได้อยู่ดี แม้ไม่ได้พาตัวผู้ต้องหาไปด้วย เพียงแต่ต้องแถลงเหตุผลต่อศาลให้เข้าใจ