วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เสียงเพรียกหา


วันนี้หลังจากไปงานสลายร่างเพื่อนนักสร้างบารมีท่านหนึ่งแล้ว ก็ไปนั่งสวดมนต์ที่วิหารคด

หน้าเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์

ราวห้าโมงกว่าๆ ตอนเย็นๆ ลมพัด

แดดยอแสง ลดความรุนแรง แต่ก็ยังมีแสงสวยตกกระทบองค์พระบนเจดีย์ ให้เป็นสีทองอร่าม อย่างที่เคยเป็น


เจดีย์ ไม่เปลี่ยนแปลง
อากาศไม่เปลี่ยนไป ยังอบอุ่นทั้งภายนอก และในใจผู้ไปเคารพสักการะ เสมอ


วันนี้เห็นเพื่อนชาวเมียนมาร์ มากันหลายร้อยคน เดินสงบเสงี่ยม ประทักษิณรอบพระมหาเจดีย์ ในขณะที่ เราๆ กำลังสวดธัมมจัก เสียงดังจากลำโพงเหมือนเคย

มองๆ ไป ปากสวด แต่ใจก็คิดถึงว่าเรามายุคสร้างให้คนรุ่นต่อๆ ไปมาแสวงบุญ เราก็มีส่วนแห่งบุญในฐานะผู้สถาปนาคนนึง 

สาธุ สาธุ สาธุ

คิดถึงวันคืนที่ผ่านมา วันที่เราต้องพยายามบุกเข้ามาสวดมนต์ เข้ามาเฝ้าเจดีย์



วันที่เค้าห้ามเข้า เค้าผลักดันเราออกไป ต้องไปนั่งกินนอนกิน น้ำท่าไม่ต้องอาบกันที่ตลาดฝั่งตรงข้าม วันนั้นใจโหยหา อยากมากราบพระเจดีย์ อยากมาอยู่ตรงหน้าวิหาร อยากปกป้องดูแล....


เสียงสวดมนต์​แม้ไม่หายไปหมด แต่ก็จางๆ ไป เป็นแค่เสียงแผ่วล้า แบบคนใกล้หมดลมหายใจ มองซ้ายขวา หน้าหลัง เก้าอี้ที่ว่างวางไว้ ไร้ผู้คน



แม้เสียงจากลำโพงยังดังอยู่ต่อเนื่อง แต่ก็เหมือนขาดชีวิต ขาดลมหายใจ ขาดมนต์ขลังของบทธัมมจัก

วันนั้น เค้าไม่ให้เข้า เราก็เดินฝ่าท้องนา แบกข้าวของเข้ามา. ปีนกำแพงเข้ามา ขอเข้ามาสวดมนต์ตรงนี้ 

วันนั้นเค้าห้ามเอาข้าวเข้ามา ไม่มีข้าวกิน ก็ไม่เป็นไรขอให้ได้มาสวดมนต์ตรงนี้



วันนั้น วันไหนๆ ถ้าใครห้ามไม่ให้เราทำความดี เราก็จะพยายามฝ่าฟัน ไปทำวัตรสวดมนต์​ สวดธัมมจักของพวกเรา ณ ที่ตรงนี้

แต่ ....​
วันนี้

ไม่มีใครห้ามแล้ว...
ไม่มีใคร ปิดประตูขวางแล้ว...

ความเคารพรักต่อครูบาอาจารย์ ต่อพระรัตนตรัย ของพวกเรา ก็คงอยู่เหมือนเดิม



แต่ทำไม เก้าอี้จึงว่างเปล่า

ทำไม เสียงจึงแผ่วเบา

ทำไม จะต้องให้ใครมาเชียร์ให้เราทำความดี

ทำไม เราจะพร้อมเพรียงกันต่อเมื่อ ถูกห้าม




วันนี้ นั่งสวดไป คิดถึงครูของเราจริงๆ .. ที่ท่านต้องมานั่งเชียร์พวกเราทุกเมื่อเชื่อวัน

วันนี้ นั่งสวดไป นึกถึงเพื่อนพ้องที่ร่วมสร้างบารมีจริงๆ ว่าพวกเรานึกถึงครูพวกเราไหม




ท่านคงคิดถึงพวกเรามากเหมือนกัน...

ถ้าพวกเราคิดถึง สัปดาห์นี้ ก่อนอาสาฬหบูชา เรามาบูชาคุณพระรัตนตรัย คุณของครูของเราที่คอยชี้แนะ คอยผลักดันให้เราทำความดี


ด้วยการมาสวดธัมมจักกันให้เนืองแน่น เหมือนวันเก่าก่อน


ให้ครูของเราได้เห็นว่า พวกเราใจแน่วแน่มั่นคงในการทำความดีไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่า ดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม จิตใจคนทั้งหลายจะอย่างไร


เราก็มาสวดมนต์กันที่หน้าเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์กัน
ท่านจะได้อยู่ในใจพวกเราทุกคน อย่างสุขใจ


วิ. 25 มิย.60

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

ช้างตาตี่ เสือมีลาย



เคยฟังหลวงพี่รูปหนึ่งท่านเทศน์ เรื่องปัญญา
จำได้ว่าวันนั้น คนฟังมีญาติโยม หนุ่มสาวก็หลายคน เด็กๆ ก็มี ผู้เฒ่าก็เยอะ
ท่านก็พูดเรื่องราว 
เหตุการณ์  ต่างๆ อยู่ๆ ท่านก็ถามว่า 


“ ใครรู้บ้าง ว่าทำไมเสือถึงมีลาย ช้างทำไมตาเล็ก”

ทั้งห้องก็ไม่มีใครตอบอะไร หันมามองหน้ากัน

ท่านก็ยิ้มๆ แล้วก็เริ่มเล่า นิทาน

เรื่องก็มีอยู่ว่า

“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว สมัยที่ คน กับ สัตว์ยังใช้ภาษาพูดสื่อสารกันได้



เจ้าเสือตัวหนึ่ง ขณะนั้น ตัวเหลืองนวล ขนนุ่ม ยังไม่มีลายแบบสมัยนี้ เดินหาอาหาร เป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ตามแต่มันจะไปพบเจอตัวอะไรในเวลาที่มันหิวโหย

วันนี้ มันเดินลัดเลาะแนวป่า ท้องที่ส่งเสียงครวญคราง บังคับให้มันเดินเสาะหา สัตว์อะไรที่พอจะทำให้ประทังชีวิตไปได้

มันเห็นก้อนเนื้อมหึมา อยู่ตรงแนวป่า เป็นสัตว์ใหญ่กว่ามันถึงห้าหกเท่า

เป็นช้างใหญ่โตเต็มที่ สมัยนั้น ช้างยังตาโต หนังตึง อ้วนๆ กลมๆ คล้ายหมูตัวใหญ่ๆ

เสือมันมองดูแล้ว เหมือนมองดูเนื้อสเต็กเดินได้ 




มันจึงปรากฏตัว เผชิญหน้ากับเจ้าช้างใหญ่
“ไอ้ช้าง เอ็งจะไปไหน เอ็งมาให้ข้ากินซะดีๆ”

เจ้าช้างซึ่งขณะนั้น กำลังทำงานลากไม้ให้กับควาญช้าง กำลังยุ่งๆ กับการทำงาน หันมาเห็นเสือ ก็ตกใจ

แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่การสู้กับเจ้าเสือหิวแบบนี้ ไม่น่าจะดี ทั้งยังมี โซ่ล่ามไว้กับซุง อีกด้วย

กลอกตาอันกลมใหญ่ ไปมาแล้วก็นึกว่าต้องหาทางรอดไม่ยอมตายง่ายๆ จึงพูดไปว่า

“ไอ้เสือ เอ็งกินข้าไม่ได้หรอก”

"ทำไมวะ" เสือ งง




"ก็ข้า อยู่ใต้อำนาจ ของคน แล้ว เอ็งไม่เห็นเหรอนี่ โซ่ ที่ตัวข้า มันมัดข้าไว้กับซุงเนี่ย"

"อะไรวะ ตัวเอ็งก็โตใหญ่ ทำไมให้ไอ้คน ตัวนิดเดียวมันล่ามได้"

"คนตัวนิดเดียวก็จริง ข้าก็ไม่กล้าเหยียบ ไม่กล้าทำร้ายมันหรอก"


"ทำไม". ไอ้เสือเริ่มสงสัย

"ก็มันมีอาวุธวิเศษ ใครโดนไปต้องตายแน่นอน"

"อาวุธอะไรของมันวะ"

"มันเรียกว่า ปัญญา เอ็งไม่เคยได้ยินเหรอ"

"อะไรวะ...... ไอ้ปัญญา   

มันเป็นเขี้ยวแหลมอย่างข้าไหม"

"ฮึ"

"มันคมเหมือนคมเล็บข้าไหม". 


"ฮึ"

มันปราดเปรียวว่องไว ใครๆ ก็จับมันไม่ได้อย่างข้าไหม

"ฮึ"

"เฮ้ยย อะไรของเอ็งวะไอ้ช้าง ฮึอย่างเดียว มันเป็นอย่างไง" เสือกล่าวด้วยเสียงโกรธๆ





ช้างเริ่มพรรณา นำความคิดไปสู่อดีต "ข้าก็บอกไม่ถูกหรอก ข้ารู้เพียงว่า ข้าเดินเล่นในป่า กับเพื่อนพ้องข้า จู่ๆ ก็เกิดเหตุวุ่นวาย มันวุ่นไปหมดทั้งป่า ข้ารู้สึกตัวอีกที ก็มาลากไม้ให้คนนี่แล้ว
แม้แต่เห็นยังไม่เห็นเลย ไอ้ตัวปัญญาของคนเนี่ย. 
มันน่ากลัวมาก
ข้าว่านะไอ้เสือ เอ็งรีบๆ หลบไปซะตอนนี้ ไม่งั้นเอ็งไม่รอดแน่ คงจะโดนปัญญาของคนจัดการ" ช้างกล่าวทิ้งทาย แบบห่วงๆ


เสือเกิดความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างรุนแรง มันก็เคยเห็นคน เดินไปเดินมา ตัวเล็กนิดเดียวกินไม่น่าจะอิ่ม ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน อย่างไงก็รับไม่ได้กับเรื่องที่ไอ้ช้างบอก

เรื่องที่จะกินช้างเป็นอาหารมื้อนี้ ตอนนี้มีความรู้สึกอยากรู้ อยากเอาชนะ มากกว่าหิว

"ไอ้ช้าง เดี๋ยวข้าจะจัดการคนให้เอ็งดู เอ็งคอยดูนะ "

จากนั้น เสือก็หลบไปหมอบอยู่ในแนวป่าไม่ไกลไม่ใกล้กับที่เจ้าช้างยืน คอยคน

ส่วนช้างกลัวเสือจะทำร้าย ก็ไม่กล้าขยับไปไหน


นายควาญช้าง ก็เริ่มสงสัยว่า ช้างที่ลากซุงไปทำไมไม่กลับมาเสียที เลยเวลาไปมากแล้ว ในที่สุดก็เดินไปตามหา ว่าเกิดอะไรกับช้างลากซุงของตน




เห็นแต่ไกลว่า ช้างหยุดยืนนิ่งๆ ไม่ได้มีอันตรายก็เบาใจ กำลังจะเดินไปบ่นกับเจ้าช้างว่าทำไมไม่ลากซุง ไม่ช่วยกันทำงาน

จู่ๆ เสือก็กระโดดออกมาจากแนวป่า ขึ้นคร่อมร่างนายควาญช้างไว้
"ไอ้ช้าง คนของเอ็งมันไม่เห็นมีน้ำยาอะไร นี่ไง 
เสร็จข้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะกินมัน ให้เอ็งดู

ไหนล่ะ ไอ้ปัญญาของมันที่ว่าวิเศษนักวิเศษหนาของเอ็ง"

เสือร้ายจ้องเขม็งที่คนที่อยู่ใต้กรงเล็บ
"เอ็งระวังไว้เถอะ" ช้างตะโกนมา

ควาญช้างได้ยินดังนั้น ด้วยความเป็นผู้มีปัญญา 
ก็พอเดาเรื่องได้บางส่วน 
คิดว่า เจ้าเสือ กับ ช้างคงสงสัยเรื่องปัญญาของคน ซะแล้ว 
จึงพูดออกไปว่า

"ไอ้เสือ เอ็งนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ถ้ายังไม่อยากตายให้รีบหนีไป ก่อนที่ข้าจะเอาปัญญาออกมา"



เสือ หันมามองที่คนที่นอนอยู่ใต้กรงเล็บของมัน ทำไมจึงยังกล้าที่จะพูดอย่างนี้ แต่ด้วยความทรนงตัวว่า ไม่เคยแพ้ใคร ก็ท้าทายคน

"ไหนล่ะ ตัวปัญญาของเอ็ง เรียกมันมาเลย ข้าไม่กลัวมันหรอก เดี๋ยวจะจัดการกับมันให้สิ้นซาก"


"ไอ้เสือ ข้าจะบอกเอ็งเอาบุญ ตัวปัญญานี่มันจัดการเอ็ง เอ็งตายก็ยังไม่รู้ตัวเลย เอ็งอย่าเจอมันดีกว่า" คนกล่าว


เสือหายใจฟึดฟัด คำรามเสียงก้องด้วยความไม่พอใจ มีมานะ ถือตัวว่า ข้านี่เก่งกล้าสามารถ พวกเอ็งมัน อาหารเดินได้ของข้า จะมาจัดการข้า ด้วยตัวปัญญา หน้าตาเป็นอย่างไง

มันเอากรงเล็บกดไปที่ตัวของคนแล้วก็พูดด้วยเสียงคำรามเกรี้ยวกราดว่า

"เอ็งรีบเรืยกมันมาเลย ไม่งั้นข้าจะกินเอ็งเดี๋ยวนี้"


นายควาญช้าง ถอนหายใจ เสียงดัง
"เฮ้ออออ... ข้าสงสารเอ็งไอ้เสือ
เอ็งรีบๆ กินข้าเถอะ ก่อนที่ปัญญามันจะมา"


เสือเต้นเร่าๆๆ. "มึงเรียกมันมาเดี๋ยวนี้เลย...โฮฮฮกกก"

"เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวข้าไปตามมันมา เอ็งรออยู่นี่ก่อน แป๊บเดียวแหละ"

เสือ กำลังโกรธจัดจนตาเริ่มแดง แวววาว

"ได้.. เอ็งรีบไปเลย "


เออ แต่ข้าว่ากว่าจะกลับมา เอ็งคงหนีไปแล้วดิ เดี๋ยวก็เสียเที่ยวข้าอีก

"โฮฮฮกกก เสืออย่างข้า มีศักดิ์ศรีโว้ย ข้าไม่หนีไปไหน จะรออยู่นี่แหละ"


"เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าล่ามเจ้าไว้ก่อน กันเจ้าเปลี่ยนใจ เดี๋ยวเจ้าตัวปัญญามา ข้าค่อยแก้มัดให้เจ้าไปสู้กันกะมัน"



เสือกำลังหน้ามืด กำลังโกรธจัด ไม่ได้คิดอะไร ก็รีบตกลง

คนก็ไปเอาเชือกบนหลังช้างมามัดขาเจ้าเสือไว้ทั้งสี่ข้าง กับต้นไม้

เจ้าช้างก็เริ่มขบขัน กับการที่ได้เห็น ได้ฟัง แต่มันก็ต้องกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะกลัวเสียแผน เดี๋ยวเจ้าเสือไม่ถูกจัดการ มันจะกลายเป็นอาหารเสือเสียเอง

พอมาถึงตอนที่เสือถูกล่ามไว้แล้ว มันจึงทนไม่ไหวเริ่มหัวเราะเสียงดัง

ควาญช้างมัดเสือเป็นที่แน่นหนาแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนมองดู เจ้าเพชรฆาตตัวเหลือง ที่โตเต็มที่ตัวนี้ โตแต่ตัวแต่สมองมีน้อย


"เอ็งไม่รีบไปตามปัญญามาวะ มายืนทำไรตรงนี้"

"เออ รอเดี๋ยว แป๊บเดียวนะ"

ว่าแล้วคนก็หายเข้าไปในแนวป่า ตัดเอากิ่งหวายติดมือมา


เสือเห็นคนเดินเข้าไปแป๊บเดียวเดินออกมา ก็มาคนเดียวเหมือนเดิม

"ไหนล่ะวะ ปัญญาของเอ็ง"

"อ้าว ไอ้เสือ.. ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ป่านนี้แล้ว ปัญญามันมาตั้งนานแล้ว"

"ไหน เอ็งเรียกมันออกมาสู้กับข้าเลย รีบแก้มัดข้า"
คนยืนยิ้มๆ อยู่ตรงนั้น ไอ้ช้างเริ่มส่งเสียงหัวเราะแรงขึ้น

"นี่ไงเล่า ปัญญา" ควาญช้างพูดไป ก็เอาหวายหวดไปบนร่างกายไอ้เสือร้ายนั้น

"นี่ไง นี่ไง" ควับ ควับ ๆ ๆ   ๆ ๆ . ..ๆ. ..ๆๆๆๆ....ๆ.ๆ..ๆๆ.



"เฮ้ย ปล่อยข้า ไอ้ขี้โกงงง โหยยย"

"นี่แหละ ปัญญาของคน เอ็งจะได้จำไว้ ไอ้เสือโง่"

หวดฟาด หวายไป ก็ พูดไป

เจ้าเสือกว่าจะรู้ว่า เสียท่าให้กับคนซะแล้ว เนื้อตัวก็ลายพร้อยไปด้วยบาดแผล
เจ้าช้าง หัวเราะจนเนื้อย่น. ตาปิด จนกระทั่งทุกวันนี้ ตายังไม่โตกลับเหมือนเดิม เนื้อตัวก็ยังย่นเพราะหัวเราะคราวนั้นนั่นเอง



……

จบนิทานเรื่องนี้

ท่านก็สรุปว่า คนเราเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นมาในชีวิต ควรใช้สติ ปัญญา ตรึกตรองแก้ปัญหา ไม่ควรไปโทษใครต่อใคร เพราะในทุกๆ ปัญหาตัวเราเองก็เป็นผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ 

เราไม่ควรขยายปัญหา ด้วยการพูดป้ายความผิดไปที่อื่น หรือเที่ยวตระเวนหาคนผิดมารับ แต่ควรตั้งใจแก้ปัญหานั้นเสียก่อน ด้วยปัญญา


ปัญญา มีอยู่ในตัวเรา เป็นแสงสว่างที่จะส่องไปในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เห็นแจ้ง ถึงทางออก ทางได้ ทางเสีย

วิธีแก้สถานการณ์ วิธีดำเนินงาน การติดต่อประสานงานเรื่องผู้ร่วมงาน ข้าวของเครื่องใช้

ถ้ามีปัญญาแล้ว ก็สามารถนำสิ่งเหล่านี้ออกมาใช้ได้หมดเต็มประสิทธิภาพ



แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังยกย่องปัญญาว่า เป็นคุณธรรมอันดับแรก ที่สำคัญที่สุด

เพราะผู้มีปัญญา แม้อยู่ในโลกนี้ ก็สามารถประคองตนให้พ้นภัย ประกอบสัมมาอาชีพ นำพาชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง พร้อมกับ สั่งสมบุญบารมี เป็นเสบียงเดินทางไปในสังสารวัฏ ในโลกหน้า ไม่เสียชาติเกิดมาฟรี

ปัญญา มีอยู่ในทุกผู้คน แต่ที่เรานำออกมาใช้ไม่ได้หมด ก็เพราะความมืดแห่งอวิชชา ที่เข้าบดบังดวงปัญญาของเราเอาไว้

วิธีเดียวที่จะทำลายความมืดนั้นให้หมดไป ก็ต้องอาศัยการเจริญภาวนา เป็นเนืองนิจ ให้แสงสว่างแห่งปัญญาส่องสว่าง จากใจของเรา ขับไล่ความมืดบอดของอวิชชาให้มลายหายสูญ

เมื่อนั้นเราจะเห็นโลกตามความเป็นจริง

ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข. หรือไม่ทุกข์ใจไปกับ การตกต่ำเสื่อมทรัพย์ หรือ ตำแหน่งหน้าที่ยศถาบรรดาศักดิ์ คำดูถูกนินทา หรือความทุกข์ต่างๆ ก็จะเห็นเป็นดุจดั่ง สายน้ำแห่งชีวิตที่เพียงไหลผ่านไป แล้วก็ผ่านไป ไม่จีรังทั้งสิ้น

ดังนั้นควรหมั่นเจริญภาวนา เอาปัญญามาเป็นสมบัติประจำตัวกันทุกคน

วิ. 18 เมษา 60

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สิ้นหวัง

ถึงบรรดา ลุงๆ ทั้งหลาย

คุณจำวันเวลาที่ คุณลุงทั้งหลาย ยังเป็นหลานๆ ได้ไหม

เวลาที่มาถึง ทางแยกของชีวิต ว่าจะต้องเลือกทำ เลือกเรียน เลือกวิชา เลือกโรงเรียน

เวลาที่พยายามพากเพียรเขียนอ่าน เป็นเดือน เป็นปี
เวลาที่ทดสอบความรู้
เวลาที่เปิดเทอม แล้ว เปลี่ยนชั้น เปลี่ยนห้อง


แล้วมองไปรอบตัว เพื่อนเก่าบ้าง เพื่อนใหม่บ้าง มาเจอกัน
แล้วก็เริ่มใหม่ในการเลือก เลือก เลือก

คุณมีโอกาส เลือกหลายครั้ง จนกระทั่งคุณมาถึงวันนี้ เป็นผู้มีอำนาจทั้งหลาย ที่ใกล้จะไม่มีทางเลือกแล้ว

แล้วตอนนี้คุณกำลังทำอะไร


สามเณร ผู้มาบวชในพระศาสนา
บ้างบางท่านก็ตั้งใจเลือกมาเรียนพระศาสนา เพราะศรัทธา
บ้างบางท่านเพราะโอกาสเรียนสายสามัญมันไม่อำนวย
บ้างบางท่านไม่มีโอกาสใดๆ ให้เดิน ก็ได้อาศัยพระศาสนา

เช้า สาย บ่าย ค่ำ ในมือจะมีหนังสือบาลี เล่มเล็กๆ เดินไปท่องไป
ท่องจนกว่าจะจำได้ทั้งเล่ม
เพราะท่านเริ่มมีความหวัง
หวังว่า จะเป็นผู้ทรงความรู้ ในทางศาสนา
อ่าน ออก แปลได้ ในพระสัทธรรม

จะได้ดำรงธรรมของพระพุทธเจ้าให้คงอยู่


ความทุ่มเทตลอดปี เพื่อวันเดียว วัดผลในการสอบสนามหลวง
มันไม่มีทางเลือกมากนัก ในการที่จะเป็นผู้ทรงธรรม

แต่ท่านก็ได้เดินมาสายนี้แล้ว
ทุ่มเทแล้ว
พากเพียรแล้ว
มีความสุขในการร่ำเรียน


แต่
คนอย่างลุงๆ ที่ใช้เวลาบนโลกนี้ มานานแล้วนั้น
กลับช่วงชิงโอกาสทางเลือกของท่านไป
ตัดโอกาส ไม่ให้ท่านออกไปสอบ

ด้วยเหตุผล ที่ท่านฟังอย่างไงก็ไม่เข้าใจ

ปรองดอง แต่จัดเต็ม
ให้ทำตามกฏที่ลุงบอกว่านี่เป็นกฏ  แต่ลุงกะคนของลุงไม่ทำตามกฏนั้น




ปีหน้า จะเป็นอย่างไร
สามเณรเบื่อหน่ายไม่อยากเรียนซ้ำ
แสวงหาทางอื่น ฆ่าเวลา
ส่งผลไปถึงส่วนรวม โรงเรียนที่ไม่สามารถทำให้นักเรียนมีความสุข
ก็ไปหาทางอื่นทำกัน จนถึงกับเลิกเรียนไป

ในที่สุดบุคลกรของพระศาสนาขาดคุณภาพ
พระศาสนาขาดบุคลากร
ผลก็ตกไปที่ญาติโยม ก็จะไม่มีใครไปอธิบายให้ฟังถึงธรรมะที่ลึกซึ้ง

ก็ตีความแบบงูๆ ปลาๆ มั่วกันแบบปัจจุบัน

ว่าทำดีแล้ว ไม่เบียดเบียนใคร ถือว่าดีแล้ว
โกหกเพื่อให้คนอื่นไม่เจ็บก็ดีแล้ว ดีแล้ว

มันดีตรงไหน ไม่มีดีสักเรื่อง

ลุงครับ...  ปล่อยให้สามเณรไปสอบเถอะ จะจับเด็กทำไม
สามเณรผิด เพราะอะไร ลุงมาตอบหน่อยได้ไหม

วิ.20 กพ.60