วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เสียงลมรำเพย




ไอ้ทิด สวดมนต์เสร็จแล้ว มาช่วยแม่ยกหม้อข้าวด้วย

ครับแม่


อากาศยามเช้าเย็นสบาย ควันหอมกรุ่น จากข้าวสวย ทำให้สายตาพร่า มองเห็นผักต้ม กับปลาย่าง ไม่ค่อยชัดนัก


มือน้อยๆ ของหลานสองคน ลูกพี่สาว แย่งเศษผ้ากันอยู่ข้างวง


อั้มมม.. ดูซิพี่แกมีลูกก็เอามาให้แม่เลี้ยง

อย่าแย่งกัน...!


แม่เมื่อวานเกี่ยวเสร็จแล้ว วันนี้ฉันกลับไปทำงานนะแม่


มือของแม่ที่กำลังป้อนข้าวหลาน หยุดชะงักเล็กน้อย

เป็นไงบ้างละ

แม่ถามดวงตาเหม่อลอย


ตำรวจใหม่ ก็ดีแม่ เท่ห์ดี สาวๆ ชอบเครื่องแบบ ..แม่


พูดให้ขำๆ แต่ ทั้งสองคน ไม่มีแววจะขบขัน แม้มีเสียงหัวเราะหึหึ ในลำคอก็ตาม

เอ็งจะไปทำทำไม ถ้ามันหนักนัก เอ็งก็กลับมาทำนากับแม่ก็ได้ ที่นาเยอะแยะ ไม่มีใครทำต่อ

เอาไว้พรุ่งนี้นะแม่ ค่อยคิด..





ไอ้น้อง แต่งตัวไวๆ เด็กใหม่ ต้องผูกผ้าอ้อมให้ไหมวะ เด็กใหม่ทำอะไรให้มันว่องไวหน่อย 

อย่ามัวแต่ติดผ้าอ้อม ขยับก้นให้มันไวๆ ไอ้พวกนี้....




นี่มันต้องฝึก อีกเยอะไหมเนี่ย เพื่อนตำรวจใหม่ด้วยกันบ่น

เอ็งชอบ ตอนไหน

ตอนฝึกยิงปืนดิ

ทำไม

ข้า นึกว่าเป้ายิง เป็นคนที่มันชอบด่า

ใครวะ

…. มีแต่รอยยิ้มน้อย..ตอบมา





มีเรื่องอะไร เหรอ โทรมาเวลานี้ หลานๆ มันนอนหมดแล้ว เดี๋ยวมันตื่นมาอีก

แม่ พรุ่งนี้จะไปวัดหรือเปล่า

ไปดิ คืนนี้เดินทาง คงถึงเช้า

แม่จะไปเหรอ

เอ้า เอ็งจะถามทำไม ก็เคยไปด้วยกันบ่อยๆ

แม่ไปรอบนี้สักกี่วัน

ไม่รู้เหมือนกัน อยู่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร เกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ว่างๆ ไปสวดมนต์ อยู่กับหลวงพ่อดีกว่า


แม่ไม่ไปไม่ได้เหรอ

เอ็งจะทำไม มีอะไรเหรอ


อืมม.. แม่ไปก็ระวังตัวด้วยนะ สถานการณ์มันไม่ค่อยดี

ไม่ดีอย่างไงวะ ไอ้ทิด


ไปสวดมนต์ สวดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ของปู่เอ็งแล้ว มันจะไม่ดีตรงไหน

แม่.. ฝากดูแลหลวงพ่อด้วยละกันครับ

เออ..






ยืนตรงๆ ให้เข้มแข็ง อย่าอ่อนปวกเปียก ..​เสียงหัวหน้า ดังอยู่หน้าแถว


เฮ้ยไอ้อ่อน..

อะไรวะ

มันบ้าอะไรกันวะนี่ ให้แหกขี้ตามายืนแถวเฝ้ารั้ววัดเนี่ย

เออว่ะ กูก็ไม่รู้




สายตามองดูไฟทางที่ฉายอยู่ยอดเสา ลมนิ่งๆ เสียงยุงหึ่งๆ จนน่ารำคาญ

นอนก็ไม่ได้นอน เรียกรวมตัวห้าทุ่ม เดินทางกลางดึกด้วยความงุนงง ว่าจะไปจัดการกับใคร ระดมตำรวจเป็นพัน


นี่ก็ยืนแถวมาสามชั่วโมงแล้วยังไม่สว่างเลย

หนีทำนา เพราะว่ายืนเกี่ยวข้าวทั้งวัน หลังขดหลังแข็ง

จับกุ้ง หอย ปู ปลา มากินหัวคันนา

ก็ยังดีกว่า ให้มาจับพระ ทำไมไม่รู้จักบาปกรรมกัน


นี่ป่านนี้แม่กับหลาน คงอยู่ข้างในนี่แหละ

เฮ้ออ

คิดๆ ดู นี่อิสรภาพในการคิดแยกผิดชอบชั่วดี ของเราไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้เลยนี่นา อุตส่าห์บวชเรียน ผิดก็รู้ ชอบก็เห็น แต่อยู่ใต้คำสั่งแบบนี้



สั่งให้ไปทำลาย ทำร้าย แบบนี้

เฮ้ออ. คิดแล้วแย่นะ กลับไปทำนา เป็นนายตัวเองดีกว่าไหม



เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน...


วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ผลของสื่อที่ทำหน้าที่สุนัขรับใช้

วันนี้ได้อ่านบทความของคนไทยที่ไปใช้ชีวิตที่เยอรมันแต่ยังติดตามข่าวสารเมืองไทย มีความรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เยอรมันอย่างดี ห่วงใยบ้านเมืองไทย วิเคราะห์เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต กับปัจจุบันได้อย่างน่าคิด ลองอ่านดู


 01010101010101010101010101010101010101010110


ยิ่งกว่า ธรรมกาย ล้างสมอง !!!!!! มันคือใครกัน ?????

โคนันติดตามข่าววัดใหญ่แถวปทุมมาตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งสนใจเคสนี้มากขึ้นเรื่อยๆจึงเริ่มศึกษาทั้งเรื่องราวเชิงลึก และ เชิงกฏหมาย

ข่าววัดนี้กินพื้นที่สื่อทุกแขนงทั้งในโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และโลกโซเชียลมานานหลายเดือนและมีทีท่าว่าจะครองพื้นที่ในสังคมสื่อได้อีกยาวนาน จากการที่ได้ศึกษาเคสนี้มาตั้งแต่ต้นจึงทำให้โคนันคิดถึงประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีประเทศเยอรมนีเป็นแกนนำ ลองมาดูอีกมุมมองของประวัติศาสตร์โลกกัน




คำว่า “ฮิตเลอร์” แทบจะเป็นคำต้องห้ามในประเทศเยอรมนี หากคุณด่าใครด้วยคำนี้ คุณอาจจะโดนชก หรือถึงขั้นถูกฟ้องร้องเลยทีเดียว เพราะอะไร ทำไมคำๆนี้ถึงมีอิทธิพลต่อจิตใจชาวเยอรมันอย่างมหาศาล

หลังจากที่ศึกษาประวัติศาสตร์เยอรมันอย่างลึกซึ้งจึงถึงบางอ้อ จะมีชาวโลกประเทศอื่นๆสักกี่คนที่รู้ว่า จริงๆแล้วประชาชนชาวเยอรมันไม่ใช่คนโหดร้าย หรือโหดเหี้ยม สิ่งที่ทำให้พวกเขา ช็อค!!!!!!! หลังจากที่สงครามจบลง คือการที่ทหารอเมริกันมาเปิดโปง การสังหารหมู่ของฮิตเลอร์สู่สายตาชาวโลก และแน่นอน สายตาชาวเยอรมันไปพร้อมๆกัน นั้นหมายความว่า ชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ก็เพิ่งได้รับรู้ถึงความสยองนี้พร้อมๆกับชาวโลกอื่นๆ แล้วอะไรละที่ปิดตาพวกเขา ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าระหว่างสงคราม มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นจากผู้นำของตัวเอง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า “สื่อ”



ในสมัยนั้นสื่อเยอรมันทุกแขนงอยู่ใต้อำนาจมืด ขออภัย เรียกว่าอำนาจรัฐจะดีกว่า (หรือที่เรียกในภาษาเยอรมันว่า Pressezensur) หน้าที่ของสื่อในสมัยนั้นมิใช่การรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่เป็นการกุมบังเหียนความคิดและความเชื่อของประชาชนหมู่มากในประเทศ จูงจมูกคนให้เชื่อในสิ่งที่สื่อเขียนและประโคมข่าว ซึ่งแน่นอน ในสมัยนั้นไม่มีการลงข่าวเกี่ยวกับการสังหารหมู่ ชาวเยอรมันส่วนใหญ่จึงถูกปิดหูปิดตา และไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศตัวเอง

เคสนี้เมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว ทำให้นึกถึง สื่อในประเทศไทยทุกวันนี้ ว่าไฉนจึงได้รับอิธิพลการทำหน้าที่สื่อเฉกเช่นสมัยฮิตเลอร์ โคนันเดินทางมาพิสูจน์หลายๆอย่างที่วัดใหญ่แถวปทุม ก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นคนมาวัดนี้เยอะมากจริงๆ คำนวนคร่าวๆน่าจะเรือนหมื่น ในขณะที่ สื่อบางฉบับเพิ่งออกข่าวว่า วัดเงียบเหงาแล้วถ่ายรูปถนนหน้าวัดว่างๆไปลงข่าว หรือจะเป็นข่าวจากสำนักข่าวดัง ออกข่าวว่า จีวรเปื้อนเลือด พยายามสร้างภาพว่าพระจะใช้ความรุนแรง พอมาดูกับตา ก็เห็นพระมานั่งสวดมนต์ ทักทายโยมอย่างยิ้มแย้ม 


ที่น่าเสียดายมากที่สุดคือ เหตุการณ์นี้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ ตรงที่ มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ถูกสื่อจูงจมูกและเชื่อข่าวโดยที่ไม่คิดจะมาดูด้วยตาตัวเอง ด่าและแอนตี้วัดนี้อย่างรุนแรง เคยอ่านเจอในโซเชียลบ่อยครั้งว่า ธรรมกายล้างสมอง ณ วันนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ใช่ธรรมกายแล้วละ ที่ล้างสมองและปิดหูปิดตาคนส่วนใหญ่ สิ่งที่โคนันไม่อยากเห็นคือ คนส่วนใหญ่เสียใจในภายหลังเพราะเชื่อโดยไม่ได้มาพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง

ประเทศไทย 2016 = เยอรมนี 1939




โคนัน เยอรมนี

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปากท้องหรือคุณธรรม

เราเพิ่งผ่านมหกรรมกีฬาสีมาไม่นาน ที่แข่งตั้งนานสองนาน 
แต่ยามหน้าสนามเป็นผู้ชนะครองถ้วย . เฮ้..

ก็ดีเหมือนกัน

ตอนนี้บ้านเมือง..ก็กำลังจะปิดตัวเอง ใช่ไหม 

1 มค. ปีใหม่ 60 นี้ นสพ.บ้านเมืองประกาศปิด

ก็ปิดไป ไอ้ที่เหลืออยู่ ก็คงกำลังตามๆ กันไป ในสภาวะไม่มีโฆษณาอย่างนี้

ตอนนี้ก็ได้อาศัยข่าววัดพอหาทานไปได้ ... เฮ้ออ

ก็ถือว่าวัดช่วยก็แล้วกันนะ  
แม้จะเอาอะไรมาป้ายวัด จนเลอะเทอะ ตามล้างกันไม่ไหวอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไรหรอก ทนได้ ขอให้พ่อแม่พี่น้องพวกคุณสื่อทั้งหลาย ไม่อดตาย พอเอาบาปไปแลกข้าวมาทานประทังชีวิตไปพลางๆ ก็แล้วกัน

วันนี้ไปเห็นวีดีโอในยูทูป ขึ้นต้นเรื่องว่า 
"อย่าตัดสินคนด้วยภาพถ่ายเพียงใบเดียว"




ภาพที่เห็น ทหารคนหนึ่งยิงคนที่ถูกมัดมือไปข้างหลังที่ศีรษะ 

คุณรู้ไหมว่า ภาพนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง... 
คุณเห็นแล้ว คุณรู้สึกเลยใช่ไหม.. 
คุณคิดเลยว่า ใครผิดเลย
ผิดแน่ๆ
ใช่แน่
เลวมากกก

คุณตัดสินทันทีเลยใช่ไหม ว่าใครถูกใครผิด 
คุณตัดสินได้อย่างไง ในเมื่อคุณไม่มีข้อมูลอะไรเลย

คำอธิบายใต้ภาพนี้ คือ February 1, 1968. South Vietnam police chief Nguyen Ngoc Loan shots a young man, whom he suspects to be a Viet Kong soldier.
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1968 .ที่เวียดนามใต้ นายตำรวจชื่อNguyen Ngoc Loan (เหงียน ง๊อค โลน) ยิงที่ศีรษะชายที่จับได้ว่าเป็นทหารเวียดกง

เรื่องราวอย่างย่อคือ

Associated Press Photographer Eddie Adams took this famous picture February 1, 1968 at the same instant that Brig. Gen. Nguyen Ngoc Loan, South Vietnamese national police chief, executed a Viet Cong officer with a single shot.

But photographs like these turned the public against the Vietnam War when they were first shown. Many people were so outraged they started a great Peace Movement. There were huge street demonstrations by American men and women of all ages. But young people have been protesting the loudest. Students held massive demonstrations against the draft. Men as young as nineteen were drafted, or forced into the army. Some protestors got killed.


นักข่าวสงครามชื่อ เอ็ดดี้ อดัมส์ ได้รับรางวัล( พลูลิสเซอร์) จากภาพนี้ 
1 กพ. 1968 นายตำรวจชื่อเหงียนง๊อกโลน หัวหน้าตำรวจแห่งชาติเวียดนามใต้ วิสามัญเจ้าหน้าที่เวียดกง ด้วยกระสุนนัดเดียว

แต่ภาพนี้กลับทำให้ฝูงชน(ชาวอเมริกัน) ต่อต้านสงครามเวียดนาม เกิดการเคลื่อนไหว ของคนทุกเพศทุกวัย ไปตามถนน เกิดการประท้วง การสมัครไปเป็นทหารไปออกรบ และบ้างก็ถูกฆ่าในขณะประท้วง

........

เบื้องหลังของเรื่องราวจริง(ตามที่วีดีโอเล่า)ก็คือ 

เวียดกงคนนี้ นำกำลังทหารเวียดกงใช้รถถัง บุกเข้าไปสถานที่ราชการ ที่มีทั้งข้าราชการ และ ครอบครัวของเจ้าหน้าที่อยู่ รวมทั้งของนายตำรวจท่านนี้ด้วย

ทหารเวียดกงได้ ฆ่าทุกคนที่พบ ร่วมครึ่งร้อย ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก คนแก่ ชาย หญิง รวมทั้งครอบครัวของนายตำรวจนี้ มีทั้งภรรยาและลูกเล็กๆ รวมถึงแม่ของเค้าโดยการเชือดคอ

ทหารเวียดนามใต้ ต่อสู้และสามารถจับตัวผู้นำได้ ขณะที่ทำการจับได้นั้น ด้วยความแค้นนายตำรวจท่านนี้ก็ทำตามภาพที่เกิดขึ้น

....

เมื่อภาพนี้ออกไป คนถ่ายรูปนี้ ชื่อเอ็ดดี้ อดัมส์ได้รางวัลพลูลิเซอร์  ภาพนี้ทำให้หนุ่มสาวชาวอเมริกันออกมาประท้วงมากมาย ในที่สุดก็เกิดการส่งทหารอเมริกันมาตายที่เวียดนามนับล้านคน

แม้สงครามจะเลิกไปแล้ว นายตำรวจเหงียน ท่านนี้ ได้ลี้ภัยไปอเมริกา มีครอบครัวใหม่ เปิดร้านพิชชาเล็กๆ แต่เมื่อคนจำเค้าได้ โดยไม่สนใจเรื่องราวก็ขับไล่เค้าออกไป ในที่สุดก็ต้องระเหเร่ร่อน ไปจนวาระสุดท้าย

นายตำรวจฆ่าเวียดกง แต่ ช่างภาพฆ่านายตำรวจ

.......

เป็นอย่างที่คิดไหม
......

หัวหน้าเวียดกงฆ่าครอบครัวนายตำรวจและคนอื่นๆ อย่างโหดเหี้ยม เพราะปัญหาการปกครอง 
นายตำรวจฆ่าหัวหน้าเวียดกงด้วยกระสุนตามหน้าที่ บวกความแค้น 
ผู้สื่อข่าวฆ่านายตำรวจ ด้วยภาพเพื่อปากท้องและชื่อเสียงของตัว



ภาพที่ตอนนี้วัดพระธรรมกายกำลังโดนก็ไม่รู้ว่า วัดจะเล่นเป็นนายตำรวจ หรือ เป็นเวียดกง 
เพราะตั้งแต่ต้นมา วัดไม่ได้ขยับทำอะไรเลย มีแต่เป็นฝ่ายถูกกระทำ 
ถ้าให้เทียบก็คงเป็นว่า ทั้งเวียดนามกับเวียดกง หันมายิงใส่พระวัดพระธรรมกายนั่นแหละ 

โดยมีนักข่าวทั้งหลายคอยจับภาพตอนที่กำลังยิง ให้ชาวบ้านมองเห็นในมุมที่  
วัดนี้สมควรถูกยิงทิ้ง  และถ้ามีตำรวจทหารบาดเจ็บ แมวข่วน เดินสะดุดหัวคว่ำไป เลือดออก ก็คงเพราะวัดนี้มีพลังอะไรสักอย่าง  วัดก็ต้องผิดอีก สมควรถูกยิงทิ้งอีก

เพราะสำนักข่าวก็ต้องอาศัยข่าววัดขายพอประทังชีวิต ครอบครัวนักข่าวไปก่อนพลางๆในช่วงนี้ อันนี้เข้าใจได้ คือเอาครอบครัวตัวเองมาเป็นตัวประกัน ให้วัดเมตตามีเรื่องไปพลางๆ ก่อน

วัดที่สร้างมา 47 ปี แต่สัปดาห์เดียว ลุงตำรวจคนหนึ่งบังคับให้ทุกกรมกองของประเทศนี้มาตั้งข้อหาให้วัดได้ถึง 158 คดี  น่าติดต่อลงกินเนสส์บุคเลคคอร์ดมากเลย คนอะไรช่างเป็นที่รักเสียจริง

มันไม่มีอะไรยืนยงคงอยู่นานนักหรอกนะ เกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมสลาย คดีความเหล่านี้ก็เช่นกัน มาแบบพิเศษรวดเร็วดั่งสายฟ้า ตั้งอยู่ชั่วคราวแล้วก็ เลิกแล้วกันไป 

แต่สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ คือความบอบช้ำของพระพุทธศาสนา ความศรัทธาของประชาชน ความรัก ความเอื้อเฟื้อต่อกันระหว่างภาครัฐและประชาชน 




ภาพที่นักข่าวที่ขาดคุณธรรม ก็ช่วยกันสร้างให้วัดเป็นไปอย่างที่นักข่าวต้องการ ในโลกโซเชียล ก็เกิดภาพตามที่นักข่าวที่ขาดคุณธรรมเหล่านั้น 

แล้วก็ขยายผลโดย พวกเกรียนไซเบลอ ทั้งหลาย วันๆ ไม่ทำอะไร นอกจากหาใครมาเป็นเหยื่อด่า ขยายผล ออกไป

วัดก็ยิ่งดูแปดเปื้อนมากยิ่งขึ้น เหมือนตกลงไปในถังสีย้อมผ้า

ภาพวัดจึงทั้งมืดทั้งดำ ด้วยประการฉะนี้

ดังนั้น ก่อนที่ทุกท่านจะตัดสินใจวัด จากภาพเหล่านี้ ขอท่านผู้มีการศึกษาทั้งหลาย ได้โปรดหยุดคิดสักนิดว่า มันมีความจริงอย่างไรใต้ภาพเหล่านี้ด้วย




วัดปกติก็ช่วยเหลือประชาชน ราชการ โรงเรียน ในเวลาที่มีปัญหาใหญ่ๆ แต่ถึงคราววัดมีปัญหาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนราชการกลับไม่ยืนหยัดบนความถูกต้อง

ก็น่าเห็นใจภาคส่วนงานที่เคยพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ทำก็โดนบีบจากผู้มีอำนาจโดยมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเดิมพัน ทำก็ฝืนมโนธรรม  ถ้าท่านทั้งหลายรู้สึกอย่างนี้ ก็ให้เลือกทำตามมโนธรรมเถิด เพราะจะได้ไม่ต้องตามด่าว่าตัวเองไปตลอดชีวิต

ถ้ามาผิดช่อง ถึงต้องออกจากราชการ ถึงเอาไปติดคุกตาราง ก็ให้มันรู้ไปว่าคนที่ยืนบนความถูกต้องในโลกนี้ยังมีอยู่ 
อยู่ก็ให้อยู่อย่างวีรบุรุษ แม้ตายก็ตายเยี่ยงวีรบุรุษ เถิด
แต่ให้เป็นวีรบุรุษกองทัพธรรม ที่ยืนบนความเที่ยงตรง ไม่ใช่ยืนบนความโกรธ เกลียด กลัว หรือโง่เขลา 



ดูอย่างพ่อเฒ่าแม่เฒ่า ที่ท่านมาสวดมนต์ที่วัด แม้อยู่เหนือใต้ออกตกแค่ไหน พอรู้ว่าวัดที่ท่านได้เคยอาศัยสร้างบารมีนี้ ถูกกลั่นแกล้ง ลำบากอย่างไร ก็มากันล้นวัด 

ท่านทั้งหลายที่มีหน้าที่ตำแหน่ง ขอจงได้โปรดหยุดคิด พิจารณาให้ดี
พระ เณร พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเลือกคุณธรรมแทนปากท้อง  
สื่อเลือกปากท้องแทนคุณธรรม
พวกท่านจะเลือกอะไร
ขอพลังความดี จงสถิตย์ในใจ ของท่านทั้งหลาย

แล้วตัดสินใจให้ถูกต้องตามมโนธรรมในใจ

วิ. 17 ธันวา 59


แหล่งที่มาของเรื่อง https://youtu.be/7d-bJtRTW3Q




วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จดหมายเปิดผนึกถึงนายก จาก ศศินภา นิติธรรมปพน



จดหมายเปิดผนึก ถึงนายกรัฐมนตรี 
และรองฯ (รักษาการ รมว.ยุติธรรม)                   

            การเป็นผู้ถือกฎหมาย แล้วไม่อำนวยความยุติธรรม แล้วบอกให้ผู้อื่นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม   ถือว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่      การออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ของนายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี (รักษาการ รมว.ยุติธรรม) เรียกร้องให้ หลวงพ่อธัมมชโย ออกมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ออกมาต่อสู้ตามกฎหมาย  ท่านนายกฯ และท่านรองฯ ผู้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ  หรือท่านเรียนกฎหมายมานาน จนความรู้คืนอาจารย์ไปแล้ว   

ใครบอกว่า หลวงพ่อธัมมชโย ใครบอกว่า วัดพระธรรมกาย  ไม่ทำตามกฎหมาย   ทุกวันนี้ วัดพระธรรมกาย ก็เดินตามข้อกฎหมายทุกอย่าง ใช่ค่ะ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย  แต่คนถือกฎหมาย ที่ถือช่องว่างทางกฎหมาย หาทางทำให้คู่ขัดแย้ง หมดหนทางต่อสู้เหมือนปิดประตูตีแมว  แต่นี่คือการ ปิดประตูตีพระ มันบาปนะท่าน     คิดว่าระดับปรมาจารย์ทางกฎหมาย อย่างท่านรองฯวิษณุ เครืองาม (รักษาการ รมว.ยุติธรรม) คงไม่ต้องให้บอกว่า คนรักษากฎหมาย อย่าง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ข้ามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างไร จนมาถึงวันที่ออกหมายเรียกคนป่วย (พระเรียกว่า อาพาธ)

              การแจ้งให้รับทราบข้อกล่าวหา การเรียกมาสอบสวน 
คนไม่ป่วย อย่างดีเอสไอ ก็เดินไปแจ้งหลวงพ่อที่วัดได้นี่คะ ไม่เห็นจำเป็นต้องออกหมายจับ ให้เป็นประเด็น ให้เอามาพูดได้ว่า หลวงพ่อธัมมชโยไม่ทำตามกฎหมาย พูดซะจนพระ กลายป็นผู้ร้าย เป็นอาชญากรทางสังคมไปเลย       หลักการเจรจาไกล่เกลี่ย ศูนย์สันติวิธี ศูนย์ระงับข้อพิพาท เรามีไว้ทำอะไรหรือคะท่าน หากคนถือกฎหมาย จงใจกระทำให้เกิดข้อขัดแย้งเสียเอง.   ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยก็วังเวงนะคะ   ขอจบจดหมายน้อยไว้เพียงเท่านี้   


กราบเรียนมา ด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่งค่ะ
                 

      ศศินภา  นิติธรรมปพน 
กรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการ
ปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา 
สภาปฏิรูปแห่งชาติ     

    ( สภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ไม่มีผู้สืบต่อตำแหน่ง จึงไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า “อดีต“ ไว้หน้าตำแหน่งหากไม่เข้าใจ ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ)                           


         ๑๔ ธันวาคม  ๒๕๕๙๙
วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย
ในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร 
รัชกาล ที่ ๑๐ ราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ฯ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คำขอร้องจากพระเมียน์มาร์ ถึงรัฐบาลไทย


คำแปลคำปราศรัยจาก Facebook ของพระวีระธู

   อาตมาขอแสดงคารวะต่อคณะสงฆ์ไทยเจริญพรประชาชนชาวไทยและรัฐบาลประเทศไทย 

อาตมาคือพระวีระธู จากวัดมะโซเย็ง เมียนม่าร์สหภาพเมียนม่าร์ 
  
      ขอเจริญพรสาธุชนทุกท่าน อาตมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าคนหนึ่งในจิตใจของอาตมามีแต่ความเมตตากรุณาและมีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจอย่างเต็มเปี่ยมไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายหากประสบความทุกข์ร้อน เมื่ออาตมาได้ทราบก็มิอาจอยู่นิ่งเฉยได้
     วันนี้อาตมาได้รับทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวของวัดพระธรรมกายซึ่งอาตมา ได้เฝ้าติดตามมาโดยตลอดและได้ทราบจากข่าว ว่าทางราชการของประเทศไทยจะบุกเข้าไปจับตัวหลวงพ่อธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกายหลังจากความพยายามครั้งที่แล้วไม่สำเร็จ โดยในครั้งนี้ได้มีการเพิ่มสรรพกำลังและความพยายามที่จะมาจับตัวหลวงพ่อให้ได้ ทั้งยังพยายามขัดขวางมิให้สาธุชนที่มีความเป็นห่วงเป็นใยในตัวหลวงพ่อได้เดินทางมาวัดโดยสะดวก มีการสนธิกำลังทั้งตำรวจทหารและสุนัขตำรวจเข้ามาจัดการ 
    อาตมามีความเห็นว่าเรื่องของสงฆ์ควรให้คณะสงฆ์ด้วยกันเป็นผู้ดำเนินการมากกว่า ให้พระเถระผู้ใหญ่เข้ามาดูแลดีกว่าที่จะให้ทางฆราวาส ตำรวจหรือทหารเข้ามาจัดการ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่ว่าในประเทศไทยเองหรือในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั่วโลกยอมรับได้
    อาตมา ปรารถนาที่จะให้ท่านที่มีอำนาจรับผิดชอบเรื่องนี้ได้พิจารณาอย่างเที่ยงธรรม หากเป็นเช่นนั้น อาตมา คณะสงฆ์เมียนม่าร์และประชาชนชาวเมียนม่าร์ก็จะขออนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง
   สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้อาตมา รู้สึกสงสัยอยู่ว่ามีใครบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ 
    เรื่องนี้ใคร่ขอให้ ทางฝ่ายรัฐบาลและผู้ที่เป็นผู้บริหารในสถาบันหลักของประเทศไทยอย่าได้ปล่อยปละละเลยจนทำให้ศาสนาพุทธสูญสลายไปจากแผ่นดินไทย
    ตัวอาตมาเองและคณะสงฆ์เมียนม่าร์ก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาพระพุทธศาสนามาด้วยความสงบ ภายใต้กฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็นแก่ทุกคน อาตมาเองก็ยึดมั่นเช่นนั้น
    สำหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทยพร้อมใจกันมาปกป้องพระพุทธศาสนาและวัดพระธรรมกาย ก็ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างเต็มที่
     ทั้งนี้อาตมาใคร่ขอเจริญพรมาถึงท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้เป็นข้อคิดว่าจะทำสิ่งใดประการใดก็ขอให้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพราะอำนาจนั้นมิใช่สิ่งยั่งยืนเปรียบเสมือนการโยนก้อนหินลงไปในน้ำ บังเกิดวงคลื่นเพียงครู่เดียวก็สลายไป แต่การกระทำของเราหากเกิดความผิดพลาดมัวหมองมันก็จะติดตัวเราไปตลอดชีวิต
     เพราะฉะนั้นทางที่ดีขออย่าให้บังเกิดความมัวหมองนี้เลย ขอจงช่วยกันปกป้องรักษาพระพุทธศาสนาให้
มั่นคงยั่งยืนต่อไป 
     อาตมาขอฝากท่านนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้เพียงแค่นี้. 
      ขอเจริญพร

สรุปปฐมบท

วันนี้อ่านบทความที่เค้าเขียนๆ กันในเฟดบุค เจอคนนี้เขียน หรือ เอามาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ว่าอ่านแล้วรู้สึกกระจ่าง เปรียบเทียบได้ดี ไม่อยากให้หายไปกับกาลเวลา นำมาเก็บไว้

ความว่า
...............................


Echo Zane นี่คือสิ่งที่
จะเอาหลวงพ่อและวัด.
..ผิดให้ได้ !! ใช่หรือไม่..

กรณีที่ 1 - ธนาคารแห่งหนึ่ง
เปิดตัวด้วยสมาชิก 5,000 คน
ใช้เวลา 4 ปี ทำการตลาดหาสมาชิกเพิ่ม
เปิดได้ 130 สาขา แต่หลังจากนั้นพบว่า
ขาดทุนไป 100 กว่าสาขา
มีเพียง 28 สาขาที่ไม่ขาดทุน

ปี 2558 ขาดทุนสะสม 2 หมื่นล้านบาท
ปี 2559 มีหนี้เสีย 4.7 หมื่นล้านบาท
คิดเป็น 43.7 % หรือเกือบครึ่งของสินเชื่อทั้งหมด

รัฐบาลสั่งให้กระทรวงการคลัง
ตั้งบริษัทรับโอนหนี้เสียทั้งหมด
เกือบ 5 หมื่นล้านบาท มาบริหารจัดการเอง
และมอบกองทุนช่วยเหลือเกือบ 3 พันล้านบาท
โดยมีกระทรวงการคลังกำกับดูแล 100 %

กรณีที่ 2 - สหกรณ์แห่งหนึ่ง
มีฐานสมาชิกที่มั่นคง 53,000 คน
เปิดมานานกว่า 33 ปี
มีทุนดำเนินการ 21,000 ล้านบาท
แต่การบริหารจัดการมีปัญหาภายใน
ทำให้เกิดขาดสภาพคล่อง

ต้องการวงเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
ประมาณ 12,000 ล้านบาท
จะช่วยให้กิจการฟื้นฟู
1. สหกรณ์รอดพ้นปัญหาขาดสภาพคล่อง
2. ประชาชนหายร้อนใจ ทำธุรกรรมได้ตามปกติ
3. สหกรณ์ทั่วประเทศที่ให้ยืมเงินมา
รอดพ้นจากความเสี่ยงหนี้สูญ ล้มละลาย

แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด
สหกรณ์แห่งนี้ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ
จากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว ทั้งที่มีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก

เหตุใดวิธีการช่วยเหลือสถาบันการเงิน 2 แห่งนี้
ของรัฐบาลจึงมีความแตกต่างกันเหลือเกิน

กรณีแรกทำไมถึงลงทุนอุ้มหนี้เสีย
แต่กรณีที่สองทำไมถึงช่วยเหลือช้า
แถมยังปล่อยให้ดีเอสไอมาโยนความผิด
ให้วัดพระธรรมกายเป็นผู้ทำความเสียหายแก่สหกรณ์อีกด้วย

ทั้งที่จริงแล้ว วัดพระธรรมกายต่างหาก
ที่กำลังแบกภาระอุ้มสหกรณ์แทนรัฐบาลอยู่ในขณะนี้
แถมยังถูกดีเอสไอตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจรอีกด้วย

จากทั้งสองกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สงสัยว่า
1. อะไรคือหลักเกณฑ์ให้ความช่วยเหลือ
สถาบันการเงินที่กำลังเดือดร้อนของรัฐบาล

2. อะไรคือหลักเกณฑ์การใช้กฎหมายกับประชาชน
ที่ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด แต่ต้องมาแบกรับปัญหาแทนรัฐบาล

3. อะไรคือหลักเกณฑ์การติดตามเงินของเจ้าหน้าที่รัฐ
ทำไมถึงทิ้งเงิน 90 % ของสหกรณ์ ที่ยังไม่ได้คืน
แต่มาติดตามเงินเพียง 10 % ที่เจ้าทุกข์ถอนฟ้องไปแล้ว

4. วัดพระธรรมกายอยู่ในฐานะผู้รับบริจาคอย่างเปิดเผย
ไม่รู้ที่มาของเงิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารสหกรณ์
เหตุใดจึงมาโยนความผิดทั้งหมดให้วัดพระธรรมกาย

5. อีก 3 ปี คดีสหกรณ์ก็จะหมดอายุความแล้ว
เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐไม่เร่งติดตามเงินที่เหลืออีก 90 %
เหตุใดรัฐบาลไม่รีบช่วยเหลือฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์
เหตุใดไม่ห่วงใยสถานการณ์หนี้สูญเป็นโดมิโน่
ของสหกรณ์ทั่วประเทศ (ซึ่งวงเงินไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท)

6. วัดพระธรรมกายต้องแบกรับปัญหาสหกรณ์
แทนรัฐบาลและดีเอสไอ แต่เพียงผู้เดียวไปอีกนานแค่ไหน
ทั้งที่ความเสียหายของสหกรณ์นั้น
ไม่ได้เกิดจากวัดพระธรรมกายแม้แต่นิดเดียว


ที่มา..https://www.facebook.com/nationweekend/posts/10154638782320211?comment_id=10154640534050211&comment_tracking=%7B%22tn%22%3A%22R9%22%7D